https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/issue/feed
วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.
2025-09-11T17:04:46+07:00
ผศ.ดร.กรรณิกา อัมพุช
afj@vru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.</strong><br /><br /><strong>E-ISSN:</strong> 2821-9244<br /><strong>กำหนดการเผยแพร่:</strong> ปี<span lang="TH">ละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน, กรกฎาคม-ธันวาคม)<br /></span><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์:</strong> วารสารนี้มีนโยบายในการตีพิมพ์บทความคุณภาพสูง<span lang="TH">ด้านการเกษตรและอาหาร ในสาขา เกษตรทั่วไป พืชศาสตร์ พืชไร่ พืชสวน ปฐพีวิทยา สัตวศาสตร์ วิทยาศาสตร์การอาหาร ภูมิทัศน์ ป่าไม้ วาริชศาสตร์ และกีฏวิทยา</span></p>
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7320
ทัศนคติของเกษตรกรต่อการพักแปลงนา เพื่อปรับปรุงบำรุงดินและการทำนาแบบต่อเนื่องในพื้นที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
2025-09-11T17:04:46+07:00
วัลลภา ชัยมาต
jerawatpangsan@gmail.com
สิรีวัลย์ ราษฎรอาศัย
jerawatpangsan@gmail.com
ศิริกร ศรีทองคำ
jerawatpangsan@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทัศนคติและการยอมรับของเกษตรกรที่มีต่อการทำนาแบบไม่พักแปลงนาและแปลงนาที่พักดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดิน 2) ศึกษาปัญหาและรวบรวมข้อเสนอแนะของเกษตรกรที่มีต่อการทำนาแบบไม่พักแปลงนาและแปลงนาที่พักดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดิน กลุ่มตัวอย่างเป็นเกษตรกรที่ทำนาในพื้นที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่มีการพักแปลงนา และไม่พักแปลงนา จำนวน 200 ราย จากการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยมีดังนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 71.50 มีอายุเฉลี่ยอยู่ในช่วง 61-70 ปี ร้อยละ 57.50 เกษตรกรทั้งหมดจบการศึกษาระดับประถมศึกษา ประสบการณ์ปลูกข้าวอยู่ในช่วง 11-20 ปี จำนวนแรงงานในการเพาะปลูกข้าวส่วนใหญ่ครัวเรือนละ 2 คน คิดเป็นร้อยละ 43.50 แรงงานจ้างประจำเฉลี่ยจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 9 แรงงานจ้างชั่วคราวเฉลี่ยจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 25 เกษตรกรมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 21-30 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 29 การถือครองที่ดินเป็นพื้นที่เช่า คิดเป็นร้อยละ 82.50 ปริมาณผลผลิตของข้าวเฉลี่ย อยู่ในช่วง 701-800 กิโลกรัมต่อไร่ ร้อยละ 54.50 ราคาผลผลิตของข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 7.10-8 บาทต่อกิโลกรัม รายได้จากผลผลิตข้าวเฉลี่ยอยู่ในช่วง 4,501-5,500 บาทต่อไร่ รายจ่ายจากการผลิตข้าวเฉลี่ยอยู่ในช่วง 4,001-5,000 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 63 เกษตรกรร้อยละ 66.70 มีความรู้เรื่องการพักแปลงนาเพื่อการปรับปรุงบำรุงดิน เหตุผลที่เกษตรกร ลด/เลิก การเผาตอซังและฟางข้าว พบว่า เนื่องจากการไถกลบตอซังและฟางข้าว สามารถปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้นและช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน (ค่าเฉลี่ย 4.02) มีวัตถุดิบหรือวิธีการที่ช่วยลดระยะเวลา ในการหมักเพื่อช่วยย่อยสลายตอซัง และฟางข้าว (ค่าเฉลี่ย 3.70) ต้นทุนการผลิตข้าว และต้นทุนการผลิตแบบไถกลบตอซังถูกกว่าการเผาตอซัง และฟางข้าว (ค่าเฉลี่ย 3.59) เหตุผลที่เกษตรกรยังคงทำการเผาตอซังและฟางข้าว เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานาน ในการหมักเพื่อย่อยสลายตอซัง และฟางข้าว (ค่าเฉลี่ย 3.92) การเร่งรอบการผลิต ให้ทันต่อน้ำ และแปลงข้างเคียง (ค่าเฉลี่ย 3.86) การเผาช่วยทำลายข้าวดีด และข้าววัชพืช (ค่าเฉลี่ย 3.82) ผลผลิตข้าว และราคาต้นทุนการผลิตข้าว ไม่แตกต่างกัน (ค่าเฉลี่ย 3.65) ดังนั้น สำหรับกลุ่มเกษตรกรที่ยังคงทำการเผาตอซังและฟางข้าว ควรมีการให้คำแนะนำ ปรึกษา และอบรมเพิ่มเติมแก่เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในผลกระทบจากการเผาตอซัง ฟางข้าว และประโยชน์จากการพักแปลงนาเพื่อการปรับปรุงดิน สามารถนำความรู้กลับไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุง การทำนาแบบลดต้นทุนและสามารถใช้ที่ดินได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7283
ผลของการหมักตอซังในสภาพแปลงนาต่อการเปลี่ยนแปลง คุณภาพน้ำและผลผลิตแหนแดง
2025-09-11T10:43:46+07:00
วิณากร ที่รัก
winakon@vru.ac.th
ศรัณย์ อธิการยานันท์
winakon@vru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการเพาะแหนแดงที่เหมาะสมในสภาพแปลงนาโดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) ทำการทดลองเลี้ยงแหนแดง จำนวน 18 บ่อ โดยแบ่งการทดลองเป็น 6 กรรมวิธี ๆ ละ 3 บ่อ ทำการเลี้ยงแหนแดงจำนวน 3 รอบ ๆ ละ 10 วัน แต่ละกรรมวิธี ได้แก่ กรรมวิธีที่ 1 น้ำสะอาดไม่เติมธาตุอาหาร (ควบคุม) กรรมวิธีที่ 2 ปุ๋ยเคมี 46-0-0 กรรมวิธีที่ 3 ดินนา กรรมวิธีที่ 4 ตอซังข้าวหมัก กรรมวิธีที่ 5 ดินนาเติมปุ๋ย 46-0-0 และกรรมวิธีที่ 6 ดินนาผสมตอซังข้าวหมัก ศึกษาคุณภาพน้ำก่อนและหลังการเพาะแหนแดง ได้แก่ อุณหภูมิน้ำ pH ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ ค่าการนำไฟฟ้าของน้ำ ไนโตรเจนรวม และจุลินทรีย์ของน้ำ ศึกษาประมาณผลผลิตแหนแดง ได้แก่ น้ำหนักสดและน้ำหนังแห้ง ผลการศึกษาคุณภาพน้ำก่อนการเพาะแหนแดง พบว่า ทุกกรรมวิธีอุณหภูมิน้ำไม่แตกต่างกัน (p>0.05) กรรมวิธีที่ 6 ค่า pH ต่ำที่สุด (p<0.05) กรรมวิธีที่ 5 การนำไฟฟ้าสูงที่สุด รองลงมาคือกรรมวิธีที่ 6 (p<0.01) ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ กรรมวิธีที่ 1 และกรรมวิธีที่ 2 มากที่สุด (p<0.05) กรรมวิธีที่ 5 ไนโตรเจนรวมสูงที่สุด รองลงมาคือกรรมวิธีที่ 2 (p<0.01) และกรรมวิธีที่ 6 จุลินทรีย์รวมมากที่สุด รองลงมาคือกรรมวิธีที่ 3 (p<0.01) คุณภาพน้ำหลังการเพาะแหนแดง พบว่า ทุกกรรมวิธีอุณหภูมิน้ำไม่แตกต่างกัน (p>0.05) กรรมวิธีที่ 6 ค่า pH ต่ำที่สุด (p<0.05) กรรมวิธีที่ 6 การนำไฟฟ้าสูงที่สุด รองลงมาคือกรรมวิธีที่ 5 (p<0.01) ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ กรรมวิธีที่ 1 และกรรมวิธีที่ 2 มากที่สุด (p<0.05) กรรมวิธีที่ 5 ไนโตรเจนรวมสูงที่สุด รองลงมาคือกรรมวิธีที่ 6 (p<0.01) และกรรมวิธีที่ 6 จุลินทรีย์มากที่สุด รองลงมาคือกรรมวิธีที่ 4 (p<0.01) และปริมาณผลผลิตแหนแดง พบว่า กรรมวิธีที่ 5 น้ำหนักสดมากที่สุด รองลงมาคือกรรมวิธีที่ 6 (p<0.01) และน้ำหนังแห้ง กรรมวิธีที่ 5 และกรรมวิธีที่ 6 น้ำหนักมากที่สุด (p<0.01) เมื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพน้ำกับผลผลิตสดของแหนแดง พบว่า อุณหภูมิน้ำ ไนโตรเจนรวม การนำไฟฟ้า และจุลินทรีย์รวม ช่วยส่งเสริมทำให้ผลผลิตของแหนแดงเพิ่มขึ้น การวิจัยนี้สรุปได้ว่า กรรมวิธีที่ 5 ที่หมักดินนาและเติมปุ๋ย 46-0-0 ก่อนเพาะแหนแดง ส่งผลให้ผลผลิตน้ำหนักสดของแหนแดงมากที่สุด และกรรมวิธีที่ 6 หมักดินนาผสมตอซังข้าว ส่งผลให้ผลผลิตน้ำหนักสดของแหนแดงมากรองลงมา แต่ทั้งกรรมวิธีที่ 5 และ กรรมวิธีที่ 6 น้ำหนักแห้งไม่แตกต่างกัน หากต้องการนำแหนแดงเพาะในแปลงนาปลูกข้าวหรือทำกิจกรรมอื่นทางการเกษตรแบบไม่เผาฟางและตอซังข้าว กรรมวิธีที่ 6 ก็มีความเหมาะสมมากเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการนำไปปรับใช้ในการเพาะแหนแดงของผู้ที่สนใจ</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7285
ผลของอัตราการใช้ปุ๋ยมูลไก่อัดเม็ดที่เหมาะสมต่อการผลิตงาในสภาพนาอินทรีย์
2025-09-11T10:57:37+07:00
ศิริลักษณ์ สมนึก
siriluk.somnuek@gmail.com
บุญเหลือ ศรีมุงคุณ
siriluk.somnuek@gmail.com
<p>การปลูกงาในระบบอินทรีย์ในสภาพพื้นที่นายังมีข้อมูลค่อนข้างจำกัดในเรื่องการใช้ปริมาณปุ๋ยอินทรีย์ที่เหมาะสมเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษาอัตราการใช้ปุ๋ยมูลไก่อัดเม็ดที่เหมาะสมต่อการผลิตงาเพื่อให้ผลผลิตเมล็ดงาสูงและคุ้มค่าต่อการลงทุน ดำเนินการทดลอง ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี ปี พ.ศ.2565-2566 วางแผนการทดลองแบบ RCBD 7 กรรมวิธี จำนวน 3 ซ้ำ คือ กรรมวิธีที่ไม่ใส่ปุ๋ยมูลไก่อัดเม็ด และ กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยอัดไก่เม็ดอัตรา 200 400 600 800 1,000 และ 1,200 กิโลกรัมต่อไร่ ในปี พ.ศ.2567 คัดเลือก 3 กรรมวิธีการใส่ปุ๋ยที่ให้ผลผลิตเมล็ดงาและอัตราผลตอบแทนระหว่างรายได้กับต้นทุน (BCR) ที่เหมาะสม แต่ละกรรมวิธีนำมาการทดสอบในสภาพแปลงนาอินทรีย์ขนาดใหญ่ของเกษตรกร เปรียบเทียบกับการไม่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ จากการทดลองพบว่า การใส่ปุ๋ยมูลไก่อัดเม็ดในแต่ละกรรมวิธีไม่มีผลแตกต่างกันทางสถิติต่อผลผลิตงา (p>0.05) และองค์ประกอบของผลผลิตงา มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตงาอยู่ระหว่าง 2,600- 6,560 บาทต่อไร่ ผลจากงานวิจัยนี้แนะนำได้ว่า การใส่ปุ๋ยมูลไก่อัดเม็ดอัตรา 600 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นอัตราปุ๋ยมูลไก่อัดเม็ดที่เหมาะสมและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจสูงที่สุด</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7286
การคัดเลือกสายพันธุ์เพกาที่ให้ผลผลิตและสารเบต้าแคโรทีนสูง ในเขตภาคเหนือตอนล่าง
2025-09-11T11:10:42+07:00
นันทนา บุญสนอง
table4188@gmail.com
จิราพร เกตุวราภรณ์
table4188@gmail.com
วราพงษ์ ภิระบรรณ
table4188@gmail.com
<p>การคัดเลือกสายพันธุ์เพกาที่ให้ผลผลิตและสารสำคัญสูงในเขตภาคเหนือตอนล่าง วัตถุประสงค์ เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์เพกาที่ให้ผลผลิตและมีสารสำคัญสูง โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อคสมบูรณ์ (RCBD) จำนวน 4 ซ้ำ ๆ ละ 3 ต้น 9 กรรมวิธี คือ สายพันธุ์เพกา STI-1, STI-2, STI-3, STI-4, STI-5, STI-6, STI-7, UTT-1 และ PCT-1 ดำเนินการที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุตรดิตถ์ ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึงเดือนกันยายน 2567 ผลการศึกษาด้านการเจริญเติบโตพบว่า เพกาสายพันธุ์ STI-3 มีความสูงต่ำสุดในปีที่่ 1 เท่ากับ 2.71 เมตร และปีที่ 2 เพกาสายพันธุ์ STI-7 เท่ากับ 3.86 เมตร เส้นรอบวงโคนต้นในปีที่ 1 เพกาสายพันธุ์ STI-2 กว้างที่สุดเท่ากับ 28.44 เซนติเมตร ปีที่ 2 เพกาสายพันธุ์ STI-3 กว้างที่สุดเท่ากับ 47.08 เซนติเมตรในด้านน้ำหนักฝักสดพบว่าเพกาสายพันธุ์ STI-2 ให้น้ำหนักฝักสดสูงสุดเท่ากับ 428.8 กรัมต่อฝัก ไม่แตกต่างทางสถิติกับเพกาสายพันธุ์ STI-7 ที่ให้น้ำหนักฝักสดเท่ากับ 427.0 กรัม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับสายพันธุ์อื่น และเพกาสายพันธุ์ STI-7 ให้ผลผลิตต่อต้นสูงสุดเท่ากับ 15.0 กิโลกรัม ไม่แตกต่างทางสถิติกับเพกาสายพันธุ์ STI-5 และเพกาสายพันธุ์ UTT-1 ที่ให้ผลผลิตต่อต้นเท่ากับ 14.1 และ 14.0 กิโลกรัม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับเพกาสายพันธุ์ STI-2 ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อต้นเท่ากับ 10.9 กิโลกรัม และเพกาสายพันธุ์ STI-6, STI-4, PCT-1, STI-3 และ STI-1 ที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อต้นเท่ากับ 8.74, 8.09, 7.28, 6.65 และ 5.06 กิโลกรัม ด้านปริมาณสารสำคัญเบต้าแคโรทีน พบว่าเพกาสายพันธุ์ STI-3 ให้ปริมาณสารสำคัญเบต้าแคโรทีนสูงสุด 983.66 µg/100g รองลงมาคือ เพกาสายพันธุ์ STI-4, PCT-1, UTT-1, STI-6, STI-7, STI-5, STI-1 และ STI-2 ที่ให้สารเบต้าแคโรทีนเท่ากับ 748.93, 710.61, 697.31, 618.91, 587.15, 549.69, 452.33 และ 444.89 µg/100g ตามลำดับ</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7287
ผลของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีสำหรับการเพิ่มผลผลิตกาแฟอะราบิกา
2025-09-11T11:29:08+07:00
ทิพวรรณ แก้วหนู
kaewnoo33@gmail.com
วริศ แคนคอง
kaewnoo33@gmail.com
ศรีสุดา รื่นเจริญ
kaewnoo33@gmail.com
ปฏิมาภรณ์ จินจาคาม
kaewnoo33@gmail.com
<p>การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี เป็นการใช้ปุ๋ยแบบผสมผสานที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชได้ ช่วยให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดีมีคุณภาพ โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ทำให้ดินมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช จึงเป็นการช่วยให้พืชสามารถดูดใช้ธาตุอาหารจากปุ๋ยเคมีได้ดีขึ้น การทดลองนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีสำหรับการเพิ่มผลผลิตกาแฟอะราบิกา วางแผนการทดลองแบบ Split plot จำนวน 20 กรรมวิธีๆ ละ 3 ซ้ำ ประกอบด้วย ปัจจัยหลัก คือ ปุ๋ยเคมี 4 ระดับ ดังนี้ 0 (ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์), 100% ของอัตราแนะนำ (220-92-45 ก. N-P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>-K<sub>2</sub>O ต่อต้น), 75% ของอัตราแนะนำ (165-69-34 ก. N-P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>-K<sub>2</sub>O ต่อต้น) และ 50% ของอัตราแนะนำ (110-46-23 ก. N-P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>-K<sub>2</sub>O ต่อต้น) ปัจจัยรอง คือ ปุ๋ยอินทรีย์ (มูลวัว) 5 ระดับ ดังนี้ 0, 1.25, 2.5, 5 และ 10 กิโลกรัมต่อต้น ผลการทดลอง พบว่า การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีสามารถเพิ่มผลผลิตกาแฟอะราบิกาได้ โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 5 กิโลกรัมต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยเคมี 100% ของอัตราแนะนำ (220-92-45 ก. N-P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>-K<sub>2</sub>O ต่อต้น) ให้ผลผลิตกาแฟอะราบิกาสูงที่สุด โดยมีค่าเท่ากับ 1,130.60 กิโลกรัมต่อไร่ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากกรรมวิธีอื่น ๆ และนอกจากนี้ยังให้กำไรสุทธิสูงที่สุด เท่ากับ 19,846.26 บาทต่อไร่</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7288
การไว้ผลต่อต้นที่เหมาะสมในการผลิตละมุดอินทรีย์จังหวัดสุโขทัย
2025-09-11T11:53:39+07:00
สุรศักดิ์ วัฒนพันธุ์สอน
surasak_w7@hotmail.com
อรณิชชา สุวรรณโฉม
surasak_w7@hotmail.com
วิภาวรรณ ดวนมีสุข
surasak_w7@hotmail.com
ฉัตรชีวิน ดาวใหญ่
surasak_w7@hotmail.com
อัณศยา พรมมา
surasak_w7@hotmail.com
<p>การไว้ผลต่อต้นที่เหมาะสมในการผลิตละมุดอินทรีย์มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตละมุดให้ได้มาตรฐานและเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับละมุด ดำเนินการในแปลงละมุดเกษตรกรตำบลท่าทอง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึง กันยายน 2567 วางแผนการทดลองแบบ Randomize Complete Block Design (RCBD) ประกอบด้วย 6 กรรมวิธี 4 ซ้ำ ได้แก่ การไว้จำนวนผลต่อต้นที่ 200 250 300 350 400 และ ไม่มีการควบคุมจำนวนผล (วิธีเปรียบเทียบ) ผลการทดลอง พบว่า ผลผลิตต่อต้นละมุดไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ โดยมีผลผลิตต่อต้นเฉลี่ยตั้งแต่ 12.7 ถึง 21.9 กิโลกรัม การไว้ผลที่250 ผล ให้น้ำหนักผลผลิตต่อต้นมากที่สุด 21.9 กิโลกรัม ขณะที่จำนวนผลต่อกิโลกรัมพบว่า มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ โดยการไว้ผลต่อต้นที่ 400 ผล มีจำนวนผลต่อกิโลกรัมน้อยที่สุดคือ 13.8 ผล ส่วนน้ำหนักผลพบว่ามีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ การไว้ผลต่อต้นที่ 250 และ 300 ผล ให้น้ำหนักผลมากที่สุด 47.40 และ 48.23 กรัม ตามลำดับ ส่วนความกว้างผลพบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติโดยมีความกว้างผลเฉลี่ยระหว่าง 3.83 ถึง 4.05 เซนติเมตร การไว้ผลต่อต้นที่ 300 ผล มีความกว้างผลมากที่สุด 4.05 เซนติเมตร และความยาวผลก็พบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติโดยมีความยาวผลเฉลี่ยระหว่าง 4.88 ถึง 5.15 เซนติเมตร การไว้ผลต่อต้นที่ 300 ผล มีความยาวผลมากที่สุด 5.15 เซนติเมตร ส่วนเปอร์เซ็นต์ความหวานพบว่า มีความแตกต่างกันทางสถิติโดยการไว้ผลต่อต้นที่ 250 ผล มีค่าความหวานน้อยที่สุด 20.08 บริกซ์ ขณะที่การไว้ผลที่ 300 ผล มีค่าความหวานมากที่สุด 21.28 บริกซ์ การไว้ผลละมุดในอัตราที่แตกต่างกันทำให้ละมุดมีขนาดผลใหญ่ขึ้นกว่าการไม่ควบคุมจำนวนผล ซึ่งจะเป็นแนวทางในการผลิตละมุดให้ได้ผลที่มีขนาดตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและได้มาตรฐานการส่งออก และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรผู้ผลิตละมุดได้ในอนาคต การไว้ผลต่อต้นที่ 300 และ 400 ผล มีแนวโน้มให้จำนวนผลต่อกิโลกรัมน้อยกว่าอัตราอื่น คือ 14.5 และ 13.8 ผล ขณะที่การไว้ผลต่อต้นที่ 250 และ 300 ผล ให้น้ำหนักต่อผลละมุดมากที่สุด คือ 47.4 และ 48.2 กรัม </p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7289
ผลของสารพาโคลบิวทราโซลต่อการเจริญเติบโตของต้นมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 86-13 ในสภาพเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อการย้ายปลูกสู่โรงเรือน
2025-09-11T12:09:29+07:00
กุลชาต นาคจันทึก
kulachart5626@yahoo.com
สุวลักษณ์ ศันสนีย์
kulachart5626@yahoo.com
นราชัย โพธิ์สาร
kulachart5626@yahoo.com
นันทวรรณ นาคจันทึก
kulachart5626@yahoo.com
<p>การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสารพาโคลบิวทราโซลต่อการเจริญเติบโตของต้นมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 86-13 ในสภาพเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ สำหรับเตรียมต้นกล้า รวมถึงการเจริญเติบโตหลังย้ายสู่โรงเรือน ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยองร โดยวางแผนการทดลองแบบ CRD จำนวน 4 ซ้ำมีปัจจัยทดลอง คือความเข้มข้นของสารพาโคลบิวทราโซล (PBZ) 5 ระดับ ได้แก่ 0, 4, 8, 12 และ 16 ppm พบว่า เมื่อต้นมันสำปะหลังที่ผ่านการเลี้ยงในอาหารที่มีการเติมสารสารพาโคลบิวทราโซล (PBZ) เป็น เวลา 14 วัน จากนั้นนำมาเลี้ยงในอาหารสูตรชักนำรากปกติ เปอร์เซ็นต์ต้นอยู่รอดเฉลี่ยที่อายุ 7 วันหลังจากย้ายอาหาร ระดับความเข้มข้น 0, 4, 8, 12 และ 16 ppm คือ 100, 94, 92, 86 และ 83 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ ความสูงที่อายุ 56 วัน ซึ่งกรรมวิธีที่ไม่ได้ผ่านการเลี้ยงในอาหารที่เติม PBZ มีความสูงมากที่สุด คือ 3.98 เซนติเมตร และเมื่อทำการย้ายปลูกเข้าสู่โรงเรือน ตั้งแต่อายุ 14-56 วันหลังย้ายปลูก ความเข้มข้นของ PBZ ที่ 4 และ 8 ppm จะทำให้การเจริญเติบโตด้านความสูงมากที่สุด โดยที่ 56 วันหลังย้ายปลูก มีความสูง คือ 8.98 และ 8.89 เซนติเมตร ตามลำดับ เมื่ออายุครบ 90 วัน ได้นำตัวอย่างมาชั่งน้ำหนักสด และแห้ง โดยแบ่งเป็นส่วนต้น และราก พบว่า ทุกกรรมวิธี ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ ดังนั้นการเติมสารพาโคลบิวทราโซล 4 ppm ในอาหารชักนำรากเป็นเวลา 14 วัน ก่อนลงอาหารชักนำรากเพื่อย้ายปลูกปกิ จะช่วยให้การเจริญเติบโตของต้นกล้าในโรงเรือนมีมากขึ้น</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7290
การประเมินระยะปลูกที่มีต่อศักยภาพการเจริญเติบโตและผลผลิต ของฝ้ายสายพันธุ์ก้าวหน้า
2025-09-11T12:23:50+07:00
การิตา จงเจือกลาง
c_karita@hotmail.com
พยุดา จันทร์เกื้อ
c_karita@hotmail.com
ณัฐกิตติ์ เพชรหมื่นไว
c_karita@hotmail.com
สมนึก คงเทียน
c_karita@hotmail.com
สุณีย์ ชมชิด
c_karita@hotmail.com
อภิชาติ สุพรรณรัตน์
c_karita@hotmail.com
<p>การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของฝ้ายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ พันธุ์ สภาพแวดล้อม การจัดการด้านดิน น้ำ ปุ๋ย การควบคุมวัชพืชและศัตรูพืช รวมถึงระยะปลูกหรือจำนวนประชากรต่อพื้นที่ ซึ่งล้วนมีผลต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิต การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับการปลูกฝ้ายสายพันธุ์ก้าวหน้า V1/TF86-8-B-B-B-47B เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี การทดลองดำเนินการ ณ แปลงทดลองของศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง ธันวาคม 2566 และวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) จำนวน 5 ซ้ำ ประกอบด้วยระยะปลูก 4 ระยะ ได้แก่ 1) 1.00 × 0.50 เมตร, 2) 1.25 × 0.50 เมตร, 3) 1.50 × 0.50 เมตร และ 4) 1.75 × 0.50 เมตร ผลการทดลองพบว่า ระยะปลูกไม่มีผลแตกต่างทางสถิติต่อความสูงของต้น จำนวนกิ่งกระโดงและจำนวนกิ่งผลต่อต้น อย่างไรก็ตาม ด้านผลผลิตปุยทั้งเมล็ดพบว่าระยะปลูกแคบสุด 1.00 × 0.50 เมตร ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุดที่ 695 กิโลกรัมต่อไร่ รองลงมาคือระยะ 1.25 × 0.50 เมตร ให้ผลผลิตเฉลี่ย 628 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับคุณภาพเส้นใย พบว่าทุกระยะปลูกให้คุณภาพเส้นใยในระดับใกล้เคียงกัน ดังนั้น ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับการปลูกฝ้ายสายพันธุ์ก้าวหน้า V1/TF86-8-B-B-B-47B คือ 1.00 × 0.50 เมตร หรือคิดเป็นจำนวนประชากร 3,200 ต้นต่อไร่</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7315
การพัฒนาผลิตภัณฑ์วาฟเฟิลวานิลลาจากแป้งฟลาวมันสำปะหลังเพื่อบริโภค
2025-09-11T16:29:58+07:00
ธนาวดี ค้ำชู
tanavadeekumchoo@gmail.com
สุวลักษณ์ ศันสนีย์
tanavadeekumchoo@gmail.com
กุสุมา รอดแผ้วพาล
tanavadeekumchoo@gmail.com
ชฎาพร อินเปลี่ยน
tanavadeekumchoo@gmail.com
<p>มันสำปะหลังเพื่อบริโภคสามารถนำมาแปรรูปเป็นแป้งฟลาวที่ไม่มีกลูเตน และใช้ทดแทนแป้งสาลีในผลิตภัณฑ์ เบเกอรี่ชนิดต่าง ๆ ซึ่งวัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาผลของการใช้แป้งฟลาวมันสำปะหลังเพื่อบริโภค 100% จำนวน 5 สายพันธุ์/พันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ก้าวหน้า OMRE62-04-20 OMRE62-04-28 OMRE62-04-54 OMRE62-09-01 และพันธุ์ ห้านาที เปรียบเทียบกับการใช้แป้งสาลี 100% ในผลิตภัณฑ์วาฟเฟิลวานิลลา โดยทดสอบลักษณะทางประสาทสัมผัสเพื่อประเมินการยอมรับของผู้เข้าร่วมการทดสอบ จำนวน 50 คน ด้วยวิธี 9-point hedonic scale และทดสอบลักษณะเนื้อสัมผัสโดยใช้เครื่องวิเคราะห์เนื้อสัมผัส พบว่า ผลการทดสอบลักษณะทางประสาทสัมผัสของวาฟเฟิลวานิลลาจากแป้ง ฟลาวมันสำปะเพื่อบริโภคทั้ง 5 ชนิด มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกับแป้งสาลี และแป้งทั้ง 5 ชนิดไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(P<0.05) กับแป้งสาลีใน 5 ลักษณะ ได้แก่ สี กลิ่นรส รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม จากทั้งหมด 6 ลักษณะ ในขณะที่ผลการทดสอบลักษณะเนื้อสัมผัส พบว่า แป้งสาลีมีค่าความแข็ง และความเหนียวติดยึดสูงสุด และแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติกับแป้งฟลาวมันสำปะหลังเพื่อบริโภคทั้ง 5 ชนิดของค่าความแข็ง (P<0.01) ดังนั้นแป้งฟลาวมันสำปะหลังเพื่อบริโภคทั้งหมด สามารถนำมาใช้ทดแทนแป้งสาลีในผลิตภัณฑ์วาฟเฟิลวานิลลาได้ทั้งหมด 100%</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7317
การทดสอบพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมดีเด่นที่เหมาะสมในสภาพนา ในจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ
2025-09-11T16:42:45+07:00
อรอนงค์ วรรณวงษ์
nid1804@gmail.com
มลุลี สิทธิษา
nid1804@gmail.com
สาคร รจนัย
nid1804@gmail.com
ชัยวัฒน์ นันทโชติ
nid1804@gmail.com
สุริพัฒน์ ไทยเทศ
nid1804@gmail.com
<p>การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมดีเด่นในสภาพพื้นที่นาที่ให้ผลผลิตสูงและเหมาะสมกับฤดูปลูก ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ จำนวน 4 แปลงทดสอบ ดำเนินการระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเมษายน 2567 วางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) จำนวน 4 ซ้ำ ประกอบด้วย พันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมดีเด่น และพันธุ์การค้า รวมจำนวน 6 พันธุ์ ได้แก่ NSX152067 NSX152097 NSX202002 NSX172017 Pac789 และ พันธุ์ กวก.นครสวรรค์ 5 จากการวิเคราะห์ความแปรปรวนรวมของผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม ทั้ง 6 พันธุ์ ใน 4 สภาพแวดล้อม พบว่าผลผลิตของพันธุ์และสภาพแวดล้อม ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ และไม่พบปฏิสัมพันธ์ระหว่างพันธุ์กับสภาพแวดล้อม โดยความแปรปรวนของผลผลิตเป็นผลมาจากอิทธิพลของพันธุ์ (genotype) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของผลผลิตทั้ง 4 สภาพแวดล้อม พันธุ์ Pac789 ให้ผลผลิตสูงสุด แตกต่างกันทางสถิติ กับ 5 พันธุ์/สายพันธุ์ แต่ทั้ง 5 พันธุ์/สายพันธุ์ นั้นไม่พบความแตกต่างกันทางสถิติ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ Pac 789 ให้ผลผลิตสูงทุกสภาพแวดล้อม ขณะที่พันธุ์ กวก.นครสวรรค์ 5 และสายพันธุ์ดีเด่น NSX 152067 มีแนวโน้มให้ผลผลิตสูง ดังนั้นทั้ง 3 พันธุ์ จึงเหมาะสมสำหรับการปลูกในฤดูแล้งสภาพนาในจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีการเกษตร