https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/issue/feed
วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.
2025-11-30T00:00:00+07:00
ผศ.ดร.กรรณิกา อัมพุช
afj@vru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.</strong><br /><br /><strong>E-ISSN:</strong> 2821-9244<br /><strong>กำหนดการเผยแพร่:</strong> ปี<span lang="TH">ละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน, กรกฎาคม-ธันวาคม)<br /></span><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์:</strong> วารสารนี้มีนโยบายในการตีพิมพ์บทความคุณภาพสูง<span lang="TH">ด้านการเกษตรและอาหาร ในสาขา เกษตรทั่วไป พืชศาสตร์ พืชไร่ พืชสวน ปฐพีวิทยา สัตวศาสตร์ วิทยาศาสตร์การอาหาร ภูมิทัศน์ ป่าไม้ วาริชศาสตร์ และกีฏวิทยา</span></p>
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/5111
การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่เขตบางขุนเทียน และกลยุทธ์การจัดการระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืน
2025-05-30T14:01:04+07:00
จิรวัฒน์ ริยาพันธ์
jirawat.riyaphan@gmail.com
<p>ปลาหมอคางดำหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าปลาเอเลี่ยนสปีชีส์ มีแหล่งกำเนิดจากทวีปแอฟริกาและแพร่ระบาดในพื้นที่ประเทศไทยแถบจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร พบในหลายพื้นที่รวมทั้งเขตบางขุนเทียน ปลาหมอคางดำสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดที่รุนแรงได้ เช่น ความเค็ม สภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ตั้งแต่น้ำจืด น้ำกร่อยจนถึงน้ำเค็ม ทนต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงสภาพออกซิเจนต่ำ ทำให้สัตว์น้ำท้องถิ่นถูกรุกรานและมีปริมาณลดลง ปลาหมอคางดำรุกรานที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำท้องถิ่น ระบบนิเวศแหล่งน้ำ รวมทั้งกิจกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรที่เลี้ยงแบบกึ่งพัฒนา การนำน้ำเข้าสู่บ่อ มีการกรองน้ำเข้าสู่บ่อจัดการคุณภาพน้ำ จากเดิมเลี้ยงแบบธรรมชาติไม่มีการกรองน้ำ ทำให้ปลาหมอคางดำสามารถแพร่พันธุ์และขยายประชากรได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ การฟื้นคืนของสัตว์น้ำท้องถิ่น และการคงอยู่ของอาชีพประมงท้องถิ่น จึงต้องหาวิธีการจัดการกับปลาหมอคางดำ ดังนี้ การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำที่พบการระบาดและปล่อยปลาผู้ล่า หรือนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ในการบริโภค ด้านอุตสาหกรรมอาหารและการทำปุ๋ยอินทรีย์หรือน้ำหมักชีวภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ มีมาตรการ eDNA ตรวจจับปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำในรูปแบบชุดทดสอบ Test Kits แต่ละพื้นที่ เพื่อให้ทราบปริมาณความหนาแน่นของปลาและง่ายต่อการกำจัด ผลการกำจัดปลาหมอคางดำด้วยวิธีต่าง ๆ เป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การใช้กลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ต่อสภาพพื้นที่แหล่งน้ำเพื่อนำปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำให้มากที่สุดเพื่อรักษาระบบนิเวศให้คงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ต่อไป</p>
2025-11-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7804
ผลของการใช้ซีโอไลต์ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของแตงกวาในระบบเกษตรอินทรีย์
2025-10-21T09:19:25+07:00
คริษฐ์สพล หนูพรหม
karistsapol.no@skru.ac.th
พงษ์ศักดิ์ มานสุริวงศ์
pongsak039@gmail.com
ภวิกา บุณยพิพัฒน์
pboonyapipat@yahoo.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ซีโอไลต์ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของแตงกวาในระบบ เกษตรอินทรีย์ การทดลองดำเนินการที่คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยใช้การทดลองแบบสุ่มในบล็อคสมบูรณ์ (Randomized Complete Block Design; RCBD) จำนวน 6 กรรมวิธี ๆ ละ 4 ซ้ำ ประกอบด้วยการปลูกในระบบเคมี การปลูกในระบบอินทรีย์โดยไม่ใช้ซีโอไลต์ และการปลูกในระบบอินทรีย์โดยใช้ซีโอไลต์ในอัตรา 50, 100, 150 และ 200 กิโลกรัมต่อไร่ ผลการวิจัยพบว่าการใช้ซีโอไลต์ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยเฉพาะปริมาณธาตุอาหารหลัก (N, P, K) และช่วยปรับค่าความเป็นกรด–ด่าง (pH) ของดินให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของแตงกวา การปลูกในระบบอินทรีย์โดยใช้ซีโอไลต์ในอัตรา 50–150 กิโลกรัมต่อไร่ช่วยให้แตงกวามีการเจริญเติบโตและผลผลิตใกล้เคียงกันโดยไม่แตกต่างกันทางสถิติ (P ≤ 0.05) แต่การใช้ซีโอไลต์ในอัตรา 150 กิโลกรัมต่อไร่ให้ ผลกำไรสูงสุด 34,454 บาทต่อไร่ ซึ่งมากกว่าการปลูกแตงกวาในระบบเคมีที่ได้ผลกำไรเพียง 28,791 บาทต่อไร่ สรุปได้ว่าการการปลูกแตงกวาในระบบอินทรีย์โดยใใช้ซีโอไลต์ในอัตรา 150 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นแนวทางที่เหมาะสมต่อการผลิตแตงกวาในระบบเกษตรอินทรีย์ เพราะสามารถปรับปรุงคุณภาพดิน เพิ่มผลผลิต และสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าการปลูกในระบบเคมี</p>
2025-11-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7530
การคัดเลือกสายพันธุ์งาขาวที่มีผลผลิตสูง
2025-09-23T08:43:08+07:00
สาคร รจนัย
sakorn.rodj@gmail.com
จุไรรัตน์ หวังเป็น
jurairat1103@gmail.com
ศรัญจิต ชนะสุวรรณ
sakorn.rodj@gmail.com
สมหมาย วังทอง
sakorn.rodj@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงพันธุ์งาขาวเพื่อผลผลิตเมล็ดสูง โดยคัดเลือกสายพันธุ์งาขาว จากแปลงปลูกผสมและคัดเลือกพันธุ์ จำนวน 19 สายพันธุ์ นำเข้าเปรียบเทียบเบื้องต้น ร่วมกับพันธุ์เปรียบเทียบ งาขาวพันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 2 รวม 20 พันธุ์/สายพันธุ์ วางแผนการทดลองแบบ RCB จำนวน 3 ซ้ำ ดำเนินการในต้นฤดูฝน และปลายฤดูฝน ปี 2567 ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี ผลการทดลอง แปลงปลูกต้นฤดูฝน พบว่าสายพันธุ์ WSUB64-57-1-1-1 มีผลผลิตสูงที่สุด คือ 208 กก./ไร่ ไม่แตกต่างทางสถิติกับ สายพันธุ์ WSUB64-25-2-1-1 และ WSUB64-58-1-1-1 มีผลผลิต 196 และ 179 กก./ไร่ แปลงปลูกปลายฤดูฝน พบว่า พันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 2 มีผลผลิตสูงที่สุด คือ 77 กก./ไร่ ผลผลิตเฉลี่ยทั้ง 2 แปลงปลูก พบว่า สายพันธุ์ WSUB64-25-2-1-1 WSUB64-57-1-1-1 และ WSUB64-58-1-1-1 มีแนวโน้มให้ผลผลิตสูง ซึ่งมีผลผลิตเฉลี่ยมากกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ ร้อยละ 30 29 และ 26 ตามลำดับ จึงได้คัดเลือกสายพันธุ์งาขาวที่มีผลผลิตสูงจากขั้นตอนการเปรียบเทียบเบื้องต้น จำนวน 11 สายพันธุ์ ได้แก่ WSUB64-26-1-1-1 WSUB64-57-2-1-1 WSUB64-22-2-1-1 WSUB64-57-3-1-1 WSUB64-57-1-1-1 WSUB64-58-2-1-1 WSUB64-58-1-1-1 WSUB64-84-2-1-1 WSUB64-25-2-1-1 WSUB64-58-3-1-1 และ WSUB64-25-2-2-1 นำเข้าเปรียบเทียบมาตรฐาน ร่วมกับพันธุ์เปรียบเทียบ งาขาวพันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 2</p>
2025-11-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7408
การคัดเลือกสายพันธุ์งาที่มีปริมาณน้ำมันสูงและมีขนาดเมล็ดโต
2025-09-16T11:34:22+07:00
จุไรรัตน์ หวังเป็น
jurairat1103@gmail.com
สาคร รจนัย
sakorn.rodj@gmail.com
<p>งา (<em>Sesamum indicum</em> L.) เป็นพืชน้ำมันที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยตลาดมีความต้องการใช้ในรูปแบบของเมล็ด อย่างไรก็ตาม การผลิตงาเพื่อการแปรรูปและส่งออกยังคงมีข้อจำกัด เนื่องจากพันธุ์ที่ปลูกในประเทศมีความแปรปรวนสูงทั้งด้านขนาดเมล็ดและปริมาณน้ำมัน ส่งผลให้คุณภาพผลผลิตไม่สม่ำเสมอ และแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์งาที่มีปริมาณน้ำมันสูง ขนาดเมล็ดใหญ่ เมล็ดสมบูรณ์ และมีสีเมล็ดสม่ำเสมอสวยงาม โดยดำเนินการทดลองที่ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี ในปี 2565 ปลูก 2 ฤดู คือ ต้นและปลายฤดูฝน ในฤดูต้นฝน ใช้สายพันธุ์งาจำนวน 30 สายพันธุ์ จากแปลงรวบรวมพันธุกรรม พบว่า งาแดงสายพันธุ์ RS56-08-02 ให้ผลผลิตสูงสุด (120 กก./ไร่) งาขาวสายพันธุ์ PWS56-5-3-26 ให้ปริมาณน้ำมันสูงสุด (50.8%) และงาขาวสายพันธุ์ NS56-41-4-3 มีน้ำหนัก 1,000 เมล็ดสูงสุด (3.09 กรัม) ส่วนในฤดูปลายฝน พบว่า งาขาวสายพันธุ์ PI436601 ให้ผลผลิตสูงสุด (123 กก./ไร่) งาขาวสายพันธุ์ PWS56-5-3-26 ยังคงให้ปริมาณน้ำมันสูงสุด (50.9%) และพันธุ์งาขาวพม่ามีน้ำหนัก 1,000 เมล็ดสูงสุด (3.57 กรัม) จากผลการทดลอง คัดเลือกได้จำนวน 4 พันธุ์/สายพันธุ์ที่มีปริมาณน้ำมันสูงและมีขนาดเมล็ดโต ได้แก่ งาขาวสายพันธุ์ PWS56-5-3-26 และงาขาวพันธุ์ Cplus 1 ที่มีปริมาณน้ำมันสูง และงาขาวสายพันธุ์ NS56-41-4-3 และงาขาวพันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 2 ที่มีขนาดเมล็ดโต ซึ่งเหมาะสมสำหรับใช้ในงานปรับปรุงพันธุ์ต่อไป</p>
2025-11-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/VRU_AFJ/article/view/7434
ผลของอุณหภูมิและการใช้สเตรปโตมัยซินซัลเฟตต่อการควบคุมเชื้อ Pseudomonas syringae pv. sesame ในเมล็ดพันธุ์งา
2025-10-13T08:49:24+07:00
ประภาพร แพงดา
kuuki.rung@gmail.com
อรอนงค์ วรรณวงษ์
nid1804@gmail.com
มลุลี สิทธิษา
malulee_tiw@hotmail.com
จิรพงษ์ นาคหัวเพ็ชร์
nickk_chiraphong@hotmail.com
<p>การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับแช่เมล็ดพันธุ์งาเพื่อลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย <em>Pseudomonas syringae</em> pv. <em>sesame</em> สาเหตุโรคใบจุดในงา ศึกษาในเมล็ดงา 3 พันธุ์ ได้แก่ งาขาวพันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 2 งาแดงพันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 3 และงาดำพันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 3 วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) จำนวน 4 ซ้ำ 5 กรรมวิธี ได้แก่ 1. การทดลองควบคุม (แช่เมล็ดในน้ำที่อุณหภูมิห้อง) 2. แช่เมล็ดในน้ำอุณหภูมิ 50 <sup>o</sup>C 25 นาที + สเตรปโตมัยซินซัลเฟต (75 มล./น้ำ 1 ล.) 30 นาที 3. แช่เมล็ดในน้ำอุณหภูมิ 50 <sup>o</sup>C 30 นาที + สเตรปโตมัยซินซัลเฟต (75 มล./น้ำ 1 ล.) 30 นาที 4. แช่เมล็ดในน้ำอุณหภูมิ 50 <sup>o</sup>C 35 นาที + สเตรปโตมัยซินซัลเฟต (75 มล./น้ำ 1 ล.) 30 นาที 5. แช่เมล็ดในน้ำอุณหภูมิ 50 <sup>o</sup>C 40 นาที + สเตรปโตมัยซินซัลเฟต (75 มล./น้ำ 1 ล.) 30 นาที ผลการทดลอง พบว่า การแช่เมล็ดงาขาวพันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 2 งาแดงพันธุ์ กวก.อุบลราชธานี 3 ในน้ำร้อนอุณหภูมิ 50 <sup>o</sup>C นาน 25 และ 30 นาที + สเตรปโตมัยซินซัลเฟต (75 มล. / น้ำ 1 ล.) นาน 30 นาที และการแช่เมล็ดพันธุ์งาดำพันธุ์ กวก. อุบลราชธานี 3 ในน้ำร้อนอุณหภูมิ 50 <sup>o</sup>C นาน 30 นาที + สเตรปโตมัยซินซัลเฟต (75 มล. / น้ำ 1 ล.) นาน 30 นาที เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม งาทั้ง 3 พันธุ์ มีเปอร์เซ็นต์การควบคุมโรคอยู่ระหว่าง 80-95 % เปอร์เซ็นต์การงอกอยู่ระหว่าง 91.00-94.34 และความแข็งแรงของต้นกล้าอยู่ระหว่าง 81.00-87.33 %</p>
2025-11-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรและอาหาร มรวอ.