ศวท : ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (LAS: Liberal Arts, Science and Technology) https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science <p><strong>วารสาร ศวท</strong><strong>: ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</strong></p> <p><strong>LAS: Liberal Arts, Science and Technology Journal</strong></p> <p><strong>เป้าหมายและขอบเขตการรับตีพิมพ์</strong></p> <p>รับตีพิมพ์ผลงานทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษประกอบด้วย บทความวิจัย (Research Article) บทความปริทัศน์ (Review Article) และรายงานฉบับย่อ (Short communication) เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการของคณาจารย์ นักวิชาการ บุคลากร ทั้งภายในและภายนอกคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เรื่องที่ส่งมาตีพิมพ์ในวารสารต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ในระหว่างพิจารณาตีพิมพ์ ในวารสารหรือหนังสืออื่น การเขียนบทความต้นฉบับ (Manuscript) ต้องตรงตามรูปแบบที่วารสารกำหนดโดยมีหัวข้อรับตีพิมพ์ที่กว้างและหลากหลายสาขาประกอบด้วย</p> <p>The Journal attracts papers from a broad spectrum of the scientific community. The LAS publishing original research from across all areas of the Social Sciences as well as Science and Technology.</p> <p><strong>ด้านสังคมศาสตร์ (Social Sciences)</strong></p> <p>1. บริหารธุรกิจ การจัดการ และการบัญชี (Business, Management and Accounting) ได้แก่<br /> 1.1 บริหารธุรกิจทั่วไป การจัดการ และการบัญชี (General Business, Management and Accounting)<br /> 1.2 การบัญชี (Accounting)<br /> 1.3 บริหารธุรกิจ และการจัดการระหว่างประเทศ (Business and International Management) <br /> 1.4 การตลาด (Marketing)<br /> 1.5 พฤติกรรมองค์กรและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Organizational Behavior and Human Resource Management) <br /> 1.6 กลยุทธ์และการจัดการ (Strategy and Management) <br /> 1.7 อุตสาหกรรมสัมพันธ์ (Industrial Relations) <br /> 1.8 การจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management) <br /> 1.9 การจัดการการผลิตและบริหารอุตสาหกรรม (Operation Management and Industrial Management)<br />2. เศรษฐศาสตร์ เศรษฐมิติ และการเงิน (Economics, Econometrics and Finance) ได้แก่<br /> 2.1 เศรษฐศาสตร์ทั่วไป เศรษฐมิติ และการเงิน (General Economics, Econometrics and Finance)<br /> 2.2 เศรษฐศาสตร์และเศรษฐมิติ (Economics and Econometrics) <br /> 2.3 การเงิน (Finance) <br />3. สังคมศาสตร์ (Social Sciences) ได้แก่ <br /> 3.1 กฎหมาย (Law)<br /> 3.2 สังคมวิทยา (Sociology)<br /> 3.3 รัฐศาสตร์ (Political Science) <br /> 3.4 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations) <br /> 3.5 รัฐประศาสนศาสตร์ หรือบริหารรัฐกิจ หรือการบริหารงานภาครัฐ (Public Administration)</p> <p><strong>ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ (Science and Technology)</strong></p> <p>1. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Science) ได้แก่ เกษตรศาสตร์ (Agricultural Science) สิ่งแวดล้อม (Environmental Science) ชีววิทยา (Biology) พันธุศาสตร์ (Genetic) จุลชีววิทยา (Microbiology) ชีวเคมี (Biochemistry) เทคโนโลยีการอาหาร (Food Science and Technology) พืชศาสตร์ (Plant Science) สัตวศาสตร์ (Animal Science) และเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว (Post-Harvest)</p> <p>2. วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Science) ได้แก่ เคมี (Chemistry) ฟิสิกส์ (Physic) คณิตศาสตร์ (Mathematics) วิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) และวัสดุศาสตร์ (Materials Science)</p> <p>3. วิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Sciences) ได้แก่ การสร้างเสริมสุขภาพ (Health Promotion) อนามัยสิ่งแวดล้อม (Environmental Health) อาชีวอนามัยและความปลอดภัย และวิทยาศาสตร์สุขภาพสาขาอื่นๆ</p> <p><strong>กำหนดตีพิมพ์</strong></p> <p>-ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับละ 6 เรื่องหรือมากกว่า)</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม</p> <p>ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>การประเมินบทความต้นฉบับ </strong></p> <p>ต้นฉบับจะต้องผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสังกัดของเจ้าของบทความ และจากหลากหลายสถาบัน จำนวน 3 ท่านต่อบทความ โดยผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (Double-blind peer review) กองบรรณาธิการจะเป็นผู้สรรหาเพื่อรับการประเมิน กรณีมีการแก้ไขกองบรรณาธิการจะส่งผลการอ่านประเมินคืนผู้เขียนให้แก้ไขหรือเพิ่มเติม หรือแล้วแต่กรณี</p> <p><strong>นโยบายด้านค่าธรรมเนียม </strong></p> <p>ไม่มีค่าใช้จ่ายในการส่งบทความเพื่อตีพิมพ์กับวารสาร</p> <p><strong>การส่งต้นฉบับ</strong></p> <p>จัดส่งต้นฉบับที่พิมพ์ตามข้อกำหนดของรูปแบบวารสารที่เว็บไซต์ https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/ (เมนู About ไปที่การส่งบทความ)</p> th-TH Jinnaput.c@ku.th (จิณณพัต ชื่นชมน้อย) Jinnaput.c@ku.th (จิณณพัต ชื่นชมน้อย) Tue, 24 Dec 2024 18:37:01 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การคัดกรอง Trichoderma spp. ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ Ganoderma orbiforme เชื้อราสาเหตุโรคลำต้นเน่าของปาล์มน้ำมัน https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/2574 <p><em>Ganoderma orbiforme</em> เป็นเชื้อราสาเหตุโรคลำต้นเน่า (Basal stem rot) ของปาล์มน้ำมัน (<em>Elaeis guineensis</em>) เป็นหนึ่งในปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลต่อกระบวนการผลิตปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชน้ำมันสำคัญทางเศรษฐกิจ ราปฏิปักษ์ <em>Trichoderma</em> spp. เป็นจุลินทรีย์ควบคุมทางชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการควบคุมโรคพืช ในการศึกษานี้ได้คัดกรอง <em>Trichoderma</em> spp. จำนวน 8 ไอโซเลต ในการยับยั้งการเจริญของเส้นใย <em>G. orbiforme</em> K4/2 ด้วยวิธี Dual culture พบว่า <em>Trichoderma</em> spp. จำนวน 4 ไอโซเลต แสดงการยับยั้งมากกว่า 70% โดย <em>Trichoderma</em> sp. Z1-02 มีเปอร์เซ็นต์การยับยั้งสูงที่สุด (73.26%) รองลงมาคือ ไอโซเลต T1-01 (72.22%) ตามด้วย SP1-01 (71.87%) และ Z1-01 (71.87%) เมื่อตรวจสอบการสร้างสารยับยั้งการเจริญของเชื้อราในน้ำกรองเลี้ยงเชื้อของ <em>Trichoderma</em> spp. พบว่า ไอโซเลต SP1-01 และ Z1-02 สร้างเอนไซม์ในกลุ่มย่อยผนังเซลล์ราสาเหตุโรค ได้แก่เอนไซม์เบตา-1,3-กลูคาเนส โดยมีค่ากิจกรรม 0.0175 และ 0.0071 U/ml ตามลำดับ</p> ดวงฤทัย ศรีช่วย, ธนัญชนก ไชยรินทร์ Copyright (c) 2024 ศวท : ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (LAS: Liberal Arts, Science and Technology) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/2574 Tue, 24 Dec 2024 00:00:00 +0700 การปรับปรุงการต้านทานน้ำของฟิล์มพีดอท:พีเอสเอสด้วยการเสริมชั้นฟิล์มบางทองคำ https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/2897 <p>ปัญหาด้านความเสถียรของฟิล์มพีดอท:พีเอสเอสเมื่อสัมผัสกับความชื้นและออกซิเจน ส่งผลให้เกิดผลเสียต่อสมรรถนะของฟิล์ม ในงานวิจัยนี้ศึกษาการป้องกันการกัดกร่อนพื้นผิวฟิล์มพีดอท:พีเอสเอสโดยการเคลือบด้วยชั้นฟิล์มบางทองคำ เมื่อศึกษาโครงสร้างผลึกพบว่าฟิล์มของฟิล์มพีดอท:พีเอสเอสและฟิล์มพีดอท:พีเอสเอสที่เคลือบด้วยชั้นทองคำก่อตัวแบบอสัณฐาน และตรวจสอบหมู่ฟังก์ชันพบว่าสอดคล้องกับพีดอท:พีเอสเอส โดยประกอบด้วยC-S และ C-C ซึ่งสอดคล้องกับหมู่ฟังก์ชันของพีดอท และ S=O ซึ่งสอดคล้องกับหมู่ฟังก์ชันของพีเอสเอส เมื่อตรวจสอบการส่งผ่านแสงพบว่าฟิล์มพีดอท:พีเอสเอสที่เคลือบด้วยชั้นทองคำปรากฎสเปกตรัมการส่งผ่านแสงลดลงเล็กน้อย เนื่องจากการเคลือบชั้นทองคำบดบังการส่งผ่านแสง แต่เมื่อทดสอบมุมสัมผัสกลับพบว่ามุมสัมผัสของฟิล์มพีดอท:พีเอสเอสที่เคลือบด้วยชั้นทองมีค่าสูงกว่าฟิล์มพีดอท:พีเอสเอส อยู่ระหว่างร้อยละ 83.39-106.48เมื่อเปรียบเทียบกับฟิล์มที่เตรียมด้วยอัตราเร็วการเคลือบผิวแบบหมุนเหวี่ยงเท่ากัน ดังนั้นการเคลือบพื้นผิวด้วยชั้นทองคำจึงช่วยเพิ่มการต้านทานน้ำของฟิล์มบางพีดอท:พีเอสเอสที่เคลือบด้วยทองคำ</p> ฐิตารีย์ อริยะตัจฉุโก , สุชีวัน กรอบทอง , ศุภเดช สุจินพรัหม, ศศิมลฑล ม่วงศรีจันทร์, ยุทธนา มูลกลาง , สาวิตรี วงศ์ฤกษ์ดี , ชัยณรงค์ รักธรรม , สุทธิพจน์ วงศ์ฤกษ์ดี Copyright (c) 2024 ศวท : ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (LAS: Liberal Arts, Science and Technology) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/2897 Tue, 24 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของความเข้มแสงต่อการเจริญเติบโตของข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ในระยะการเจริญเติบโตของลำต้น https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/2899 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของความเข้มแสงต่อการเจริญเติบโต และการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาของข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในระยะเจริญเติบโตของลำต้น (ต้นกล้า-เริ่มสร้างช่อดอก)&nbsp; โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design; CRD) ประกอบด้วย 3 ชุดการทดลอง คือ 1) ชุดควบคุมแสงสภาพธรรมชาติ (ความเข้มแสงเฉลี่ย 24,261 ลักซ์ 2) ชุดพรางแสงด้วยตาข่ายพรางแสง 1 ชั้น (ความเข้มแสงเฉลี่ย 2,654 ลักซ์/พรางแสงร้อยละ 89.1) และ 3) ชุดพรางแสงด้วยตาข่ายพรางแสง 2 ชั้น (ความเข้มแสงเฉลี่ย 786 ลักซ์/พรางแสงร้อยละ 96.7) วัดการเจริญเติบโตของข้าวซึ่งประกอบด้วยความสูงของต้น จำนวนใบต่อต้น จำนวนต้นต่อกอ ความกว้างของใบทุกสัปดาห์ ชั่งน้ำหนักสด น้ำหนักแห้ง วัดปริมาณคลอโรฟิลล์และแคโรทีนอยด์เมื่อสิ้นสุดระยะแตกกอ ผลการศึกษาพบว่าความเข้มแสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของข้าวขาวดอกมะลิ 105 อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ การพรางแสง 1 ชั้น และพรางแสง 2 ชั้น ทำให้ความสูงต้นข้าว จำนวนใบต่อกอ จำนวนต้นต่อกอ ความกว้างใบ น้ำหนักสด น้ำหนักแห้งของต้นและรากข้าว มีค่าต่ำกว่าชุดควบคุม และพบว่าการพรางแสง 1 ชั้นทำให้มีปริมาณคลอโรฟิลล์รวมในใบและลำต้นต่ำกว่าชุดควบคุมประมาณร้อยละ 21 ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการพรางแสงด้วยตาข่าย 1-2 ชั้น (พรางแสงร้อยละ 89.1-96.7) ทำให้แสงลอดผ่านตาข่ายน้อยมากไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตทางลำต้นของข้าวขาวดอกมะลิ 105</p> เครือมาศ สมัครการ, ชลธิชา พวงมาลี Copyright (c) 2024 ศวท : ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (LAS: Liberal Arts, Science and Technology) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/2899 Tue, 24 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสมรรถนะหลักในงานระบบรับและส่งต่อผู้ป่วยด้วยโปรแกรมไทยรีเฟอร์ของพยาบาลผู้ปฏิบัติงานกลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลลำปาง https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/3134 <div><span lang="TH">การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (</span><span lang="EN-US">Descriptive research) </span><span lang="TH">มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาสมรรถนะหลักในงานระบบรับและส่งต่อผู้ป่วยด้วยโปรแกรมไทยรีเฟอร์ของพยาบาลผู้ปฏิบัติงานกลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลลำปาง โดยมีกลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ พยาบาลผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในงานระบบรับและส่งต่อผู้ป่วยในกลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลลำปาง&nbsp;</span><span lang="TH">ที่ปฏิบัติงานในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 </span><span lang="EN-US">– </span><span lang="TH">เดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 และสมัครใจเข้าร่วมโครงการจำนวน 42 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามสมรรถนะของพยาบาลผู้ปฏิบัติงานในระบบรับและส่งผู้ป่วยด้วยโปรแกรมไทยรีเฟอร์ โดยใช้คะแนนตามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีการประเมินจำนวน&nbsp;</span><span lang="TH">3 สมรรถนะ ได้แก่ สมรรถนะที่ 1 การประเมินคัดกรองและการพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน (จำนวน 25 ข้อ) สมรรถนะที่ 2&nbsp;</span><span lang="TH">การตรวจรักษาเบื้องต้นโดยพยาบาล (จำนวน 9 ข้อ) สมรรถนะที่ 3 การรับและส่งต่อผู้ป่วยด้วยโปรแกรมไทยรีเฟอร์ (จำนวน 13 ข้อ) &nbsp;&nbsp;&nbsp;มีวิธีการประเมินจากการสังเกตในการปฏิบัติจริง ซึ่งทำการประเมินสมรรถนะก่อนและหลัง</span><span lang="TH">กลุ่มประชากรเข้ารับการอบรมพัฒนาสมรรถนะซึ่งใช้ระยะเวลาในการอบรมให้ความรู้และลงมือปฏิบัติจริงเป็นเวลา</span><span lang="TH">&nbsp;8 สัปดาห์ ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า สมรรถนะที่ 1 และ 2 มีระดับสมรรถนะอยู่มในเกณฑ์ ดีมากและดี ตามลำดับ แต่ในขณะที่สมรรถนะที่ 3 มีระดับสมรรถนะอยู่มในเกณฑ์ ปานกลาง แต่อย่างไรก็ตามในทุกๆ สมรรถนะมีค่าเฉลี่ยคะแนนและระดับสมรรถนะเมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการอบรมพัฒนาสมรรถนะมีค่าเฉลี่ยคะแนนและระดับสมรรถนะสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ (</span><em><span lang="EN-US">p</span></em><span lang="EN-US">&lt;</span><span lang="TH">0.05)</span></div> ปริม เครือจินจ๋อย, นันท์นลิน นาคะกุล, คัทลียา อินทะยศ Copyright (c) 2024 ศวท : ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (LAS: Liberal Arts, Science and Technology) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/3134 Tue, 24 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายและชำระสินค้าอัตโนมัติ กรณีศึกษา ตู้จำหน่ายเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ร้านสะดวกซื้อ https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/3104 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยประชากรศาสตร์ ปัจจัยพฤติกรรมศาสตร์ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายและชำระสินค้าอัตโนมัติ กรณีศึกษา ตู้จำหน่ายเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ร้านสะดวกซื้อ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยประชากรศาสตร์ ปัจจัยพฤติกรรมศาสตร์ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายและชำระสินค้าอัตโนมัติ กรณีศึกษา ตู้จำหน่ายเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ร้านสะดวกซื้อ และ 3) เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการพัฒนาเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า กลุ่มตัวอย่างคือ คือ ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ซื้อหรือเคยซื้อสินค้าผ่านตู้จำหน่ายเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ร้านสะดวกซื้อ จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม โดยใช้ Google forms</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 21 – 30 ปี อาชีพพนักงานเอกชน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 - 25,000 บาท สถานภาพ สมรส/อยู่ด้วยกัน เลือกซื้อสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายและชำระสินค้าอัตโนมัติ ประเภทเครื่องดื่ม เลือกซื้อ 5 - 6 ครั้ง/สัปดาห์ เหตุผลในการเลือกซื้อ สามารถหาซื้อได้ง่าย ใกล้แหล่งที่พักอาศัย/ที่ทำงาน และชำระเงินผ่านช่องทาง พร้อมเพย์ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดภาพรวม อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.94) และการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายและชำระสินค้าอัตโนมัติอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.04) และผลการทดสอบสสมติฐานพบว่า 1) ปัจจัยประชากรศาสตร์ด้านรายได้ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายและชำระสินค้าอัตโนมัติแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ปัจจัยพฤติกรรมศาสตร์ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายและชำระสินค้าอัตโนมัติ ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายและชำระสินค้าอัตโนมัติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และแนวทางการพัฒนา ผู้ประกอบการควรรักษามาตรฐาน/คุณภาพของสินค้า และปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หาทำเลในการวางเครื่องที่เหมาะสมเพื่อให้ลูกค้าใช้บริการได้สะดวกสบาย อีกทั้งจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การสะสมแต้มแลกของ เป็นต้น</p> วีรยา ศิริพันธ์ , ทาริกา สระทองคำ , ศุภชัย เหมือนโพธิ์ Copyright (c) 2024 ศวท : ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (LAS: Liberal Arts, Science and Technology) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/3104 Tue, 24 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของแรงงานข้ามชาติบริษัทผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสำนักงานแห่งหนึ่ง https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/3149 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยความสามารถในการปรับตัวในการทำงาน ทักษะการสื่อสาร ความผูกพันต่อองค์การ สัมพันธภาพในที่ทำงาน และคุณภาพชีวิตในการทำงานของแรงงานข้ามชาติ 2) เปรียบเทียบคุณภาพชีวิตในการทำงานของแรงงานข้ามชาติจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของแรงงานข้ามชาติ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แรงงานข้ามชาติบริษัทผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสำนักงานแห่งหนึ่ง จำนวน 80 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบลำดับขั้น ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยความสามารถในการปรับตัวในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์การ สัมพันธภาพในที่ทำงาน และคุณภาพชีวิตในการทำงานของแรงงานข้ามชาติโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนทักษะการสื่อสารโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) แรงงานข้ามชาติที่มีเพศและรายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกันมีคุณภาพชีวิตในการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ปัจจัยสัมพันธภาพในที่ทำงานและทักษะการสื่อสารส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานด้านการทำงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปัจจัยสัมพันธภาพในที่ทำงานและความสามารถในการปรับตัวในการทำงานส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานด้านส่วนตัว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปัจจัยสัมพันธภาพในที่ทำงานส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ศรัณยา ใบเตย, อรรถวดี เข็มแก้ว, จิรพัฒน์ รู้งาน, วศินี มั่งชูพันธุ์, จุรีวรรณ จันพลา Copyright (c) 2024 ศวท : ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (LAS: Liberal Arts, Science and Technology) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li04.tci-thaijo.org/index.php/art-science/article/view/3149 Tue, 24 Dec 2024 00:00:00 +0700