วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร https://li04.tci-thaijo.org/index.php/mjs <p>วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยโดยครอบคลุมด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ การแพทย์แผนจีน จิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ สังคมศาสตร์ จิตวิทยาการกีฬา วิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นต้น</p> Shinawatra University th-TH วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร 3057-0638 การบริหารจัดการชีวมวลจากใบและยอดอ้อยของเกษตรกร https://li04.tci-thaijo.org/index.php/mjs/article/view/3962 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการชีวมวลจากใบและยอดอ้อย หลังการเก็บเกี่ยวของเกษตรกร การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยโรงงานของปีการผลิต 2564/65 ในพื้นที่ 13 จังหวัดที่มีการปลูกอ้อยโรงงานจำนวนมาก ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลในครั้งนี้นอกเหนือจากการสัมภาษณ์เกษตรกรแล้ว ยังใช้วิธีการจัดสนทนากลุ่มของเกษตรกรในประเด็นเกี่ยวกับการจัดการใบและยอดอ้อย ผลการศึกษา พบว่า การผลิตอ้อยโรงงานในปีการเพาะปลูก 2564/65 เกษตรกรมีวิธีจัดการชีวมวลอ้อยหลังเก็บเกี่ยว คือ เกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 50.83 ปล่อยใบและยอดอ้อยไว้ในแปลงเพื่อคลุมดินและเตรียมไถกลบ รองลงมาคือ เผาใบและยอดอ้อยทิ้ง ร้อยละ 32.87 อัดใบและยอดอ้อยส่งโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ร้อยละ 13.43 แจกฟรีให้แก่ผู้ที่ต้องการ ร้อยละ 1.85 และขายให้แก่ผู้นำไปแปรรูปเป็นปุ๋ยหรืออาหารสัตว์ ร้อยละ 1.02 สำหรับวิธีการของเกษตรกรในการขายใบและยอดอ้อยให้กับโรงไฟฟ้าชีวมวล แบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ (1) เหมายกแปลงโดยให้ผู้ประกอบการหรือโรงงานมาดำเนินการเอง (2) การจ้างอัดแล้วให้เกษตรกรนำไปขายเอง และ (3) เกษตรกรลงทุนเป็นผู้ประกอบการ ในการรับจ้างอัดใบและยอดอ้อยเพื่อส่งให้โรงไฟฟ้าชีวมวล สำหรับแนวทางในการส่งเสริมการบริหารจัดการชีวมวลอ้อยที่เหมาะสมของเกษตรกร คือ 1) ผลักดันการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเพื่อบริหารจัดการชีวมวลอ้อยที่เหมาะสมกับพื้นที่ 2) กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ สำหรับการบริหารจัดการชีวมวลอ้อย 3) สนับสนุนและส่งเสริมการบริหารจัดการชีวมวลอ้อยที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านการกำหนดมาตรการ จัดทำโครงการ และรณรงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย และ 4) การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยกำหนดบทบาทให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่องอย่างยั่งยืน</p> Sudarin Rodmanee Siriluck Pattanapant ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร 2025-08-31 2025-08-31 2 2 1 14 เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กอายุ 10-12 ปี โดยใช้แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายด้วยรูปแบบการละเล่นพื้นบ้านไทย https://li04.tci-thaijo.org/index.php/mjs/article/view/3981 <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กอายุระหว่าง 10-12 ปี โดยใช้แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายด้วยรูปแบบการละเล่นพื้นบ้านไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุระหว่าง 10-12 ปี ในเขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 600 คน ซึ่งใช้วิธีการคัดเลือกแบบกำหนดโควต้า แบบแบ่งสัดส่วนเพศชาย เพศหญิง โดยแบ่งเป็นเพศชาย 300 คน (10 ปี จำนวน 100 คน 11 ปี จำนวน 100 คน และ 12 ปี จำนวน 100 คน) และเพศหญิง 300 คน (10 ปี จำนวน 100 คน 11 ปี จำนวน 100 คน และ 12 ปี จำนวน 100 คน) เครื่องมือวิจัยเป็นแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กอายุระหว่าง 10-12 ปี โดยใช้รูปแบบการละเล่นพื้นบ้านไทย หรือ Thai Traditional Games Fitness Test วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทำการสร้างเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกาย โดยการแบ่งเกณฑ์ตามตัวเพศและอายุออกเป็น 5 ระดับ คือ ต่ำมาก ต่ำ ปานกลาง ดี และดีมาก โดยใช้ค่าเปอร์เซ็นไทล์ ผลการศึกษา ได้ตารางเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กอายุระหว่าง 10-12 ปี โดยใช้แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย ด้วยรูปแบบการละเล่นพื้นบ้านไทย จำนวน 8 เกณฑ์ คือ เกณฑ์มาตรฐานรายการทดสอบรถไถนา 10 เมตร รายการทดสอบ กระโดดกบ 10 เมตร รายการทดสอบกระโดดยาง 2 นาที รายการทดสอบเป่ายาง รายการทดสอบลิงชิงหลัก รายการทดสอบกล้วยตาก รายการทดสอบกระโดดกระต่ายขาเดียว 2 ครั้ง และรายการทดสอบขว้างลิง โดยผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบระดับสมรรถภาพทางกายของเด็กอายุ 10-12 ปี ในประเทศไทยได้</p> Tachapon Tongterm ขนิษฐา ฉิมพาลี จีรนันท์ แก้วมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร 2025-08-31 2025-08-31 2 2 15 34 การศึกษาการตั้งชื่อภาษาจีนของนิสิตหลักสูตร ศศ.บ.ภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://li04.tci-thaijo.org/index.php/mjs/article/view/3657 <p>รายงานการวิจัยฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาการตั้งชื่อภาษาจีนของนิสิตหลักสูตร ศศ.บ.ภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ &nbsp;มหาวิทยาลัยทักษิณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติที่มีต่อการตั้งชื่อภาษาจีนของนิสิตหลักสูตร ศศ.บ.ภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ และศึกษาโครงสร้างและรูปแบบการตั้งชื่อภาษาจีนของนิสิต หลักสูตร ศศ.บ.ภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ โดยจำแนกตามผู้ตั้งชื่อชาวจีนและผู้ตั้งชื่อชาวไทย กลุ่มตัวอย่างคือ นิสิตหลักสูตร ศศ.บ.ภาษาจีน ชั้นปีที่ 1-4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์&nbsp; มหาวิทยาลัยทักษิณ&nbsp; ปีการศึกษา 2566&nbsp; จำนวน 303 คน &nbsp;ดำเนินการวิจัยในรูปแบบงานวิจัยเชิงสำรวจ เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม &nbsp;โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ชื่อภาษาจีน วิธีการชื่อภาษาจีน และทัศนคติที่มีต่อการตั้งชื่อภาษาจีน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยหาค่าความถี่&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ คือ นิสิตมีความพึงพอใจในชื่อภาษาจีนของตนเองอยู่ในระดับมากที่สุด เงื่อนไขสำคัญที่นิสิตพิจารณาในการเลือกใช้ชื่อภาษาจีน 3 อันดับแรก คือ เสียงคำไพเราะ การออกเสียงคำง่าย ตัวอักษรที่เขียนง่าย&nbsp; ผู้ตั้งชื่อชาวจีนและผู้ตั้งชื่อชาวไทย เลือกใช้คำจาก คำนาม คำคุณศัพท์ และคำกริยา มากเป็น 3 อันดับแรก มีประเภทสร้างคำของชื่อภาษาจีน 3 ประเภทแรก คือ คำประสม คำมูล และคำซ้อน ตามลำดับ&nbsp; และใช้คำที่มีความหมาย ความอ่อนโยน ความงาม ความบริสุทธิ์ มากที่สุดเหมือนกัน</p> Nuchada Chatprasert ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร 2025-08-31 2025-08-31 2 2 34 49 ความสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ในยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้น https://li04.tci-thaijo.org/index.php/mjs/article/view/4659 <p>บทความนี้มุ่งนำเสนอความสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ในฐานะทักษะจำเป็นสำหรับพลเมืองในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศสื่อและการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว การรู้เท่าทันสื่อครอบคลุมความสามารถในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสรรค์สื่อในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับเนื้อหาและผลกระทบของสื่อ ในบริบทของสังคมข้อมูลข่าวสารท่วมท้น (Information Overload) การเปลี่ยนแปลงของระบบสื่อจากยุคอนาล็อกสู่ยุคดิจิทัล บทบาทที่เพิ่มขึ้นของสื่อสังคมออนไลน์ และการกระจายตัวของแหล่งข้อมูล ได้นำมาซึ่งความท้าทายในการแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อมูลบิดเบือนและข่าวปลอม</p> <p>บทความอภิปรายองค์ประกอบสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อ พร้อมเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาการรู้เท่าทันสื่อใน 4 มิติ คือ บทบาทของสถาบันการศึกษาในการบูรณาการการรู้เท่าทันสื่อในหลักสูตร การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มวัย การสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้กับสังคม และบทบาทความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยีและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ บทความนำเสนอกรณีศึกษาผลกระทบของสื่อต่อสังคมทั้งจากต่างประเทศและประเทศไทย อาทิ กรณีข่าวปลอมวัคซีนโควิด-19 และเหตุการณ์เสือดำที่ทุ่งใหญ่นเรศวร รวมถึงตัวอย่างความสำเร็จของโครงการรู้เท่าทันสื่อในประเทศไทย และบทเรียนจากประเทศที่มีความก้าวหน้าในการส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับภาครัฐ ภาคการศึกษา บริษัทเทคโนโลยี และภาคประชาสังคมในการยกระดับการรู้เท่าทันสื่อในประเทศไทย</p> <p>โดยสรุป การรู้เท่าทันสื่อมิใช่เพียงทักษะเสริมแต่เป็นความจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะดังกล่าวให้กับประชาชนทุกเพศทุกวัย เพื่อสร้างสังคมที่มีภูมิคุ้มกันต่อข้อมูลข่าวสารและใช้ประโยชน์จากสื่ออย่างสร้างสรรค์และรับผิดชอบ</p> Pavoranun Thammanyutanun ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร 2025-08-31 2025-08-31 2 2 50 67 อิทธิพลของ Influencer Marketing ต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและจริยธรรมในการสื่อสารการตลาด https://li04.tci-thaijo.org/index.php/mjs/article/view/4660 <p>การศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์อิทธิพลของ Influencer Marketing ที่มีต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและประเด็นจริยธรรมในการสื่อสารการตลาดรูปแบบนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การตลาดผ่านผู้ทรงอิทธิพลได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมูลค่าตลาดทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2016 เป็น 16.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ปรากฏการณ์นี้ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยสร้างช่องทางการสื่อสารที่มีความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า Influencer Marketing มีกลไกการสร้างอิทธิพลที่ซับซ้อน โดยอาศัยหลักการทางจิตวิทยาสังคม ได้แก่ การสร้างความน่าเชื่อถือ ความสัมพันธ์เชิงกึ่งสังคม และความผูกพันกับชุมชนออนไลน์ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในหลายมิติ ทั้งการเปลี่ยนแปลงกระบวนการตัดสินใจซื้อ การรับรู้คุณค่าตราสินค้า และการสร้างค่านิยมในการบริโภค อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วนำมาซึ่งประเด็นจริยธรรมที่สำคัญ ได้แก่ ความโปร่งใสในการเปิดเผยความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ ความจริงแท้ของเนื้อหา การโฆษณาเกินจริง การใช้อิทธิพลกับกลุ่มเปราะบาง และการส่งเสริมค่านิยมที่มีผลกระทบเชิงลบต่อสังคม</p> <p>งานศึกษานี้นำเสนอกรอบกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ดีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมวิเคราะห์กรณีศึกษาทั้งความสำเร็จและข้อขัดแย้งด้านจริยธรรม เพื่อถอดบทเรียนและเสนอแนวทางแก้ไข นอกจากนี้ ยังสำรวจแนวโน้มในอนาคตของ Influencer Marketing ที่จะได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ความเป็นจริงเสมือน และเมตาเวิร์ส ข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพทางการตลาดกับความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคม รวมถึงการพัฒนา Influencer Marketing ที่มีจริยธรรมและยั่งยืนในระยะยาว</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>ผู้ทรงอิทธิพลทางการตลาด, พฤติกรรมผู้บริโภค, จริยธรรมการสื่อสารการตลาด, สื่อสังคมออนไลน์, การตลาดดิจิทัล</p> ปวรนันท์ ธัมมัญญุตานันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร 2025-08-31 2025-08-31 2 2 68 90 การจัดการเจเนอเรชันของผู้รับสารในการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง https://li04.tci-thaijo.org/index.php/mjs/article/view/5388 <p>บทความวิชาการนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้กำหนด &nbsp;นโยบายและผู้ปฏิบัติของพรรคการเมืองเป็นกรณีศึกษา(Case Studies) พรรคก้าวไกลหรือพรรคอนาคตใหม่เดิม กลุ่มผู้รับสารในกลุ่มเจเนอเรชัน B X Y และ Z และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารทางการเมือง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การส่งสารทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) การสร้างความเข้าใจ ความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 3) การวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารแบบเฉพาะกลุ่ม (Segmented Messaging) 4) การหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่อาจกระทบความรู้สึกหรือขัดแย้งระหว่างรุ่น และ 5) พรรคการเมืองที่สามารถสร้างฐานเสียงได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า 1) การส่งสารทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นสามารถทำให้เนื้อหาสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละเจเนอเรชันได้อย่างตรงจุด 2) คนกลุ่มเจเนอเรชันต่างกันมีความเชื่อ ค่านิยม ความสนใจต่างกัน&nbsp; ดังนั้นต้องสื่อสารกันให้ตรงใจ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง&nbsp; 3) การวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารแบบเฉพาะกลุ่ม (Segmented Messaging) มีการใช้ข้อมูลเจเนอเรชันเป็นพื้นฐานในการออกแบบการรณรงค์หาเสียง 4)&nbsp; สามารถหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่อาจกระทบความรู้สึกหรือขัดแย้งระหว่างรุ่นได้ เพราะเนื้อหาสารที่โดนใจกลุ่มหนึ่งอาจไปสร้างความรู้สึกถูกต่อต้านในอีกกลุ่มหนึ่ง และ 5) พรรคการเมืองสามารถสร้างฐานเสียงได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้ เพราะว่าเข้าใจคนรุ่นใหม่ตั้งแต่วันนี้ได้ก็เท่ากับเป็นการลงทุนทางการเมืองที่ดีในอนาคตได้อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> ภัสสร คงเอียด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยชินวัตร 2025-08-31 2025-08-31 2 2 91 106