https://li04.tci-thaijo.org/index.php/stjrmutk/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
2024-12-29T18:50:36+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ผิวพรรณ ประจันทร์ศรี
science.st@mail.rmutk.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ </strong></p> <p>(Journal of Science and Technology Rajamangala University of Technology Krungthep)</p> <p>ISSN 2392-5647 (Print) ISSN xxxx-xxxx (Online)</p> <p>บรรณาธิการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ผิวพรรณ ประจันทน์ศรี</p> <p> </p> <p>วัตถุประสงค์ในการพิมพ์</p> <p>เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัย ด้านวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สถาปัตยกรรมการออกแบบ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเกษตร การบูรณาการความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับศาสตร์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย รวมถึงวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ หรือการศึกษา อีกทั้งเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ บุคลากรสายวิชาการและสายสนับสนุน นักวิจัย และนักศึกษา ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย</p> <p> </p>
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/stjrmutk/article/view/2658
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการดำเนินการด้านประกันคุณภาพของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์สู่เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx300)
2024-08-08T16:17:30+07:00
ณรงค์ศักดิ์ รอบคอบ
n_wongsakorn@hotmail.com
กิตติญา ปิ่นแก้ว
n_wongsakorn@hotmail.com
วงศกร ณรงค์
wongsakorn@hatyaiwit.ac.th
สุธิดา จำนงจิต
n_wongsakorn@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาระดับความต้องการจำเป็นในการดำเนินการด้านประกันคุณภาพของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สู่เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการดำเนินการด้านประกันคุณภาพของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สู่เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 70 คน ซึ่งกำหนดขนาดด้วยโปรแกรม G*Power จากนั้นทำการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการดำเนินการด้านประกันคุณภาพของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สู่เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ ใช้มาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความต้องการ ระหว่าง .67-1.00 ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามอยู่ที่ .728 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์พหุคูณ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า (1) ความต้องการจำเป็นในการดำเนินการด้านประกันคุณภาพของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สภาพการดำเนินการปัจจุบัน ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.28 และสภาพการดำเนินงานที่คาดหวัง ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.55 การดำเนินงานทั้ง 4 ขั้นตอนประกอบด้วย ด้านการวางแผนปฏิบัติงาน ด้านการปฏิบัติตามแผน ด้านการตรวจสอบประเมินผล ด้านการนำผลประเมินมาปรับปรุงงาน โดยสภาพการดำเนินการปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าสภาพการดำเนินงานที่คาดหวังทุกข้อ แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการด้านประกันคุณภาพทั้ง 4 ขั้นตอนเป็นความต้องการจำเป็นทุกข้อ ซึ่งการดำเนินงานที่มีค่าความจำเป็นสูงที่สุดคือ ด้านการปฏิบัติตามแผน (0.57) รองลงมาคือ ด้านการนำผลการประเมินมาปรับปรุงงาน (0.51) ด้านการตรวจสอบประเมินผล (0.5) และด้านการวางแผนปฏิบัติงาน (0.49) ตามลำดับ (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการดำเนินการด้านประกันคุณภาพของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คือ Y = 2.547 - .161X<sub>3</sub> -.15 X<sub>2</sub> - 118X<sub>4</sub> - 087 X<sub>7</sub> (โดย Y = ความต้องการจำเป็นในการดำเนินการประกันคุณภาพ X<sub>3</sub> = ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วม ของบุคลากรต่อการประกันคุณภาพ X<sub>2</sub> = ปัจจัยด้านการบริหารจัดการและงบประมาณ X<sub>4</sub> = ปัจจัยด้านทัศนคติของ บุคลากรต่อการประกันคุณภาพ X<sub>7</sub> = ปัจจัยด้านด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบประกันคุณภาพ) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .903 และตัวแปรปัจจัยทั้ง 4 ตัว ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความต้องการจำเป็นในการดำเนินการประกันคุณภาพได้ร้อยละ 81.6</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/stjrmutk/article/view/2987
การปรับสภาพกายภาพร่วมกับเคมีของกกอียิปต์โดยสารละลายโซเดียมคลอไรด์เพื่อนำไปใช้ในทางวัสดุชีวภาพ
2024-09-27T15:33:07+07:00
ณัฐยา เรืองปราชญ์
nattaya_r@mail.rmutt.ac.th
กาญจนา ลอยทะเล
kanjana.l@en.rmutt.ac.th
มณฑิรา พงษ์พยัคฆ์
montira_p@mail.rmutt.ac.th
ฐนียา รังษีสุริยะชัย
thaneeya.r@en.rmutt.ac.th
<p>การปรับสภาพด้วยความร้อนจากน้ำร่วมกับเคมีเป็นกระบวนการที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีชีวมวลในภาคการผลิตวัสดุชีวภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเซลลูโลสที่เหมาะกับงานด้านวัสดุ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษาสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างกกอียิปต์ต่อสารละลายโซเดียมคลอไรด์ในการปรับสภาพด้วยการใช้ความร้อนจากน้ำร่วมกับทางเคมี ในการลดปริมาณลิกนินที่เป็นองค์ประกอบของกกอียิปต์ เพื่อให้ได้สัดส่วนของเซลลูโลสที่เพิ่มขึ้นสามารถนำไปเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเชื้อเพลิงได้ ในการทดลองนี้ได้ศึกษาองค์ประกอบทางเคมีในการปรับสภาพโดยใช้กระบวนการไฮโดรเทอร์มอลพร้อมกับการใช้สารละลายโซเดียมคลอไรด์และแปรเปลี่ยนปริมาณกกอียิปต์ต่อสารละลายโซเดียมคลอไรด์ที่ 1:5 1:10 1:20 และ 1:30 (ร้อยละโดยน้ำหนักต่อปริมาตร) ตามลำดับ สารละลายโซเดียมคลอไรด์ที่ใช้มีความเข้มข้น 2 โมลาร์ ทำการปรับสภาพเป็นเวลา 20 นาที ที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ผลการทดลองพบว่าที่อัตราส่วนของแข็งต่อของเหลวเท่ากับ 1:20 สามารถลดปริมาณลิกนินได้สูงสุดที่ร้อยละ 11.68 และในขณะเดียวกันก็เป็นอัตราส่วนที่สามารถเพิ่มปริมาณเซลลูโลสได้มากที่สุดที่ร้อยละ 18.07 แสดงให้เห็นว่าอัตราส่วนมีผลต่อการเลือกสภาวะที่เหมาะสมในการปรับสภาพเนื่องจากทำให้องค์ประกอบทางเคมีเปลี่ยนแปลงไปแตกต่างกัน จึงใช้เป็นข้อพิจารณาในการนำไปใช้งานในอนาคต</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/stjrmutk/article/view/2961
การวิเคราะห์รูปแบบการกระจายเชิงพื้นที่ของอุตสาหกรรมการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กรณีศึกษาอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
2024-09-24T14:31:54+07:00
จารุภา แก่นจักร์
jarupaice@gmail.com
สุภาพร มานะจิตประเสริฐ
smanajitprasert@gmail.com
อรสา รัตนสินชัยบุญ
orrasa06@gmail.com
<p>จังหวัดนครปฐม มีอุตสาหกรรมหลัก คืออุตสาหกรรมการเกษตรที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัดในแต่ละปี โดยอำเภอกำแพงแสนจัดเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ และมีความพร้อมด้านทำเลที่ตั้งและการคมนาคม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการกระจายเชิงพื้นที่ของอุตสาหกรรมการเกษตรในอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ผลการศึกษาพบว่าอุตสาหกรรมการเกษตรจำนวน 63 แห่ง มีการกระจายตัวแบบเกาะกลุ่มตามเส้นทางคมนาคมสายหลัก 3 เส้นทาง ได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 321 และ 346 รวมถึงบริเวณเส้นทางคลองส่งน้ำชลประทาน การวิเคราะห์ด้วยดัชนีความใกล้เคียง (Nearest Neighbor Index) ให้ค่าเท่ากับ 0.708 และค่า z-score เท่ากับ -4.430 แสดงถึงรูปแบบการกระจายเชิงพื้นที่แบบเกาะกลุ่ม และการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ความหนาแน่นแบบเคอร์เนล (Kernal Density Estimation) แสดงความหนาแน่นของที่ตั้งอุตสาหกรรมการเกษตร อยู่บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 321 และ 346 ซึ่งสะท้อนถึงการรวมกลุ่มของอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ การเลือกที่ตั้งอุตสาหกรรมให้เหมาะสมกับพื้นที่และสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของพื้นที่</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/stjrmutk/article/view/3077
การออกแบบภาพยนตร์แอนิเมชันสั้นเพื่อถ่ายทอดวัฒนธรรมการบริโภคอาหารริมทางในกลุ่มวัยรุ่นไทย
2024-10-24T11:05:38+07:00
เริงฤทธิ์ เอกวงศ์อนันต์
roengrit65@gmail.com
พรวดี ฐิตะไพศาลผล
roengrit.ekw@kmutt.ac.th
พรสวรรค์ อิงอมรรัตน์
roengrit.ekw@kmutt.ac.th
ลลิต์ภัทร ชัยพรเฉลิม
roengrit.ekw@kmutt.ac.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาความนิยมของอาหารริมทางในกลุ่มวัยรุ่น 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตกับการบริโภคอาหารริมทาง และ 3) เพื่อออกแบบและประเมินผลภาพยนตร์แอนิเมชันสั้นที่สะท้อนวัฒนธรรมการบริโภคอาหารริมทางของวัยรุ่นไทย ระเบียบวิธีวิจัยประกอบด้วยการเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน และแบบสอบถามกลุ่มเป้าหมายช่วงอายุ 15-19 ปี โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต () จากคะแนนเต็ม 5 คะแนนและส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (S.D.) ผลการศึกษาวิจัยพบว่า อาหารริมทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มวัยรุ่น ได้แก่ หมูปิ้ง ลูกชิ้นทอด ผัดไทย และผัดกะเพรา ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตกับการบริโภคอาหารริมทางสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1) บริบทของที่อยู่อาศัยและการประกอบอาชีพในพื้นที่ และ 2) ความสะดวกรวดเร็วในกระบวนการเตรียมอาหาร ซึ่งมักเป็นอาหารที่มีขั้นตอนการปรุงไม่ซับซ้อน ในส่วนของการประเมินความพึงพอใจในผลงานภาพยนตร์แอนิเมชันสั้นจากกลุ่มเป้าหมาย พบว่าในภาพรวมของผลงานพึงพอใจในระดับดีมาก (= 4.70, S.D.=0.52) การรู้สึกถึงความสำคัญของอาหารริมทาง (= 4.2, S.D.=0.76) อยู่ในระดับดี และการถ่ายทอดความเป็นอาหารริมทาง (= 4.4, S.D.=0.65) อยู่ในระดับดี งานวิจัยนี้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมการบริโภคอาหารริมทางกับวิถีชีวิตของวัยรุ่นไทย และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการนำเสนอประเด็นทางวัฒนธรรมผ่านสื่อภาพยนตร์แอนิเมชันให้กลุ่มวัยรุ่นหันมาสนใจในการรักษาวัฒนธรรมอาหารริมทางของไทยต่อไป</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/stjrmutk/article/view/2966
การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใยขัดผิวจากวัสดุเหลือทิ้งของการแปรรูปมะขามโดยการใช้กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์
2024-10-15T15:09:39+07:00
สุวิมล เทียกทุม
suwimon.thi@pcru.ac.th
ศักดิ์ศิริชัย ศรีสวัสดิ์
suwimon.thi@pcru.ac.th
ธงชัย เครือผือ
suwimon.thi@pcru.ac.th
น้ำผึ้ง พูนวิวัฒน์
suwimon.thi@pcru.ac.th
<p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยในครั้งนี้ เพื่อพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใยขัดผิวจากวัสดุเหลือทิ้งของการแปรรูปมะขามโดยการประยุกต์ใช้กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ ในการหารูปแบบที่เหมาะสม โดยรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์วัสดุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปและผู้เชี่ยวชาญด้านการแปรรูปมะขามจำนวน 5 ท่าน และเพื่อประเมินคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ด้วยแบบสอบถามกับกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่ได้จากการเลือกแบบบังเอิญพบจำนวน 50 คน ผลการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใยขัดผิวจากวัสดุเหลือทิ้งของการแปรรูปมะขามโดยการใช้กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ภายใต้เกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกรูปแบบผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย หน้าที่ใช้สอย ขนาดและรูปทรง สวยงามน่าใช้ วัสดุปลอดภัย วิธีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และราคาที่ไม่แพง วัสดุเหลือทิ้งของการแปรรูปมะขามที่ใช้ทำใยขัดผิวนี้คือรกมะขามพันธุ์ศรีชมภู พบว่าได้รูปแบบผลิตภัณฑ์ใยขัดผิวจำนวน 4 รูปแบบที่มีค่าเฉลี่ยน้ำหนักความสำคัญมากที่สุด คือ รูปแบบที่ 2 แบบฝักมะขาม รูปแบบที่ 3 แบบโดม รูปแบบที่ 1 แบบมือ และรูปแบบที่ 4 แบบสี่เหลี่ยมมีค่าน้ำหนักความสำคัญของทางเลือกเป็น 0.568 0.220 0.117 และ 0.095 ตามลำดับ ผลการประเมินคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ด้วยแบบสอบถามแบบบังเอิญพบ จำนวน 50 คน ในภาพรวมพบว่าด้านคุณลักษณะในภาพรวมของผลิตภัณฑ์มีค่าเฉลี่ย เป็น 4.38 ± 0.49 อยู่ในระดับมาก</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/stjrmutk/article/view/2908
การพัฒนารูปแบบการถ่ายทอดความรู้การประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่นผ่านการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน
2024-10-08T11:19:36+07:00
ธนสาร เสริมสุข
thanasarn.se@rmuti.ac.th
อัญชลี บุบผามาลา
Thanasarn.se@rmuti.ac.th
สุภวุฒิ ภูมิรัตน
Thanasarn.se@rmuti.ac.th
นีรนุช กมลยะบุตร
Thanasarn.se@rmuti.ac.th
ภัทรธีรา แพครบุรี
Thanasarn.se@rmuti.ac.th
ชญากัญจน์ ทิมแท้
Thanasarn.se@rmuti.ac.th
วาริตา ตาปนานนท์
Thanasarn.se@rmuti.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1. ศึกษาการประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่นผ่านการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน 2. ศึกษาองค์ประกอบการถ่ายทอดความรู้การประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่นผ่านการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน 3. พัฒนารูปแบบการถ่ายทอดความรู้การประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่นผ่านการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน และ 4. ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการถ่ายทอดความรู้การประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่นผ่านการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพร่วมกับเชิงปริมาณ กลุ่มเป้าหมายได้จากการเลือกแบบเจาะจงจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน จำนวน 14 คน และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ แบบสำรวจ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบประเมิน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้การประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่น ประกอบด้วย 1) หลักการประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่น 2) ลักษณะการประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่น 3) คุณค่าข่าวท้องถิ่น และ 4) บทบาทและหน้าที่ของสื่อมวลชนในการประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่น 2. องค์ประกอบการถ่ายทอดความรู้การประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่นผ่านการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน ประกอบด้วย 1) ผู้รู้ 2) ผู้เรียนรู้ 3) ผู้ประเมินความรู้ 4) การถ่ายทอดความรู้ 5) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ 6) การสื่อสาร และ 7) เป้าหมาย 3. รูปแบบการถ่ายทอดความรู้การประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่นผ่านการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน ประกอบด้วย 1) เป้าหมาย 2) ปัจจัยนำเข้า 3) กระบวนการ และ 4) ปัจจัยนำออก และ 4. ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการถ่ายทอดความรู้การประเมินคุณค่าข่าวท้องถิ่นผ่านการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคสนามด้านสื่อสารมวลชน อยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด (x̄ = 4.54, S.D. = 0.51)</p> <p> </p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
https://li04.tci-thaijo.org/index.php/stjrmutk/article/view/2226
การพัฒนาผลิตภัณฑ์พุดดิ้งข้าวไรซ์เบอร์รี่สูตรวีแกน
2024-05-25T15:33:03+07:00
นำชัย พลายละหาร
615021400028@mail.rmutk.ac.th
นันท์นภัส นามมีบุญ
615021400226@mail.rmutk.ac.th
อัปสร พรหมมา
615021400200@mail.rmutk.ac.th
อาฒยา สันตะกุล
ataya.s@mail.rmutk.ac.th
นฤมล จอมมาก
naruemon.j@mail.rmutk.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์พุดดิ้งข้าวไรซ์เบอร์รี่สูตรวีแกน ได้แก่ สูตรโปรตีนถั่วเหลืองสกัด (SPI) และสูตรโปรตีนถั่วลันเตาสกัด (PPI) โดยเบื้องต้นได้ทำการแปรปริมาณโปรตีนสกัดที่ใช้เป็นสารให้ความคงตัว (ร้อยละ 1.0 และ 1.5) และปริมาณคาราจีแนนเป็นสารก่อเจล (ร้อยละ 0.6 และ 0.8) เพื่อนำไปวิเคราะห์และคัดเลือกสูตรที่ได้รับคะแนนการยอมรับสูงและมีการสูญเสียน้ำระหว่างแช่เย็นต่ำ พบว่าสูตรที่คัดเลือกจำนวน 2 สูตร ประกอบด้วยโปรตีนสกัดและคาราจีแนน เท่ากับ ร้อยละ 1.5 และ 0.6 ตามลำดับ และประกอบด้วยน้ำนมข้าวไรซ์เบอร์รี่ น้ำและน้ำตาล ร้อยละ 50 40.9 และ 7 ตามลำดับ และผลการศึกษาคุณภาพต่างๆ พบว่าพุดดิ้งสูตร SPI และ PPI ที่พัฒนาขึ้น ได้รับคะแนนการยอมรับด้านสี รสชาติโดยรวม รสหวาน กลิ่นข้าว กลิ่นถั่ว ความเนียน ความเด้ง และความชอบโดยรวม จาก 9 คะแนน อยู่ในระดับ 6.80±0.95 ถึง 7.45±0.88 และระดับ 6.70±0.92 ถึง 7.10±0.85 คะแนน ตามลำดับ โดยมีค่าการสูญเสียน้ำระหว่างแช่เย็นอยู่ในช่วงร้อยละ 1.08-1.47 และองค์ประกอบทางเคมีต่างๆ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em><u>></u>0.05) ซึ่งพบแอนโทไซยานินชนิดไซยานิดิน-3-กลูโคไซด์และเพลาร์โกนิดิน-3-กลูโคไซด์ ปริมาณ 0.17 และ 0.09 มิลลิกรัม/100 มิลลิลิตร ตามลำดับ ในพุดดิ้งสูตร SPI ขณะที่พุดดิ้งสูตร PPI มีอยู่ 1.28 และ 0.68 มิลลิกรัม/100 มิลลิลิตร ตามลำดับ ส่วนจำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ไม่เกินมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสำหรับเต้าหู้นมสดคือไม่เกิน 5x10<sup>4</sup> โคโลนีต่ออาหาร 1 กรัม ขณะที่ลักษณะเนื้อสัมผัสของพุดดิ้งที่แสดงถึงความคงตัวของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ความแข็งของพุดดิ้งสูตร SPI มีค่ามากกว่าสูตร PPI (<em>p</em><0.05) ในขณะที่ความยืดหยุ่น ความเหนียวและความต้านทานการเคี้ยวได้ของพุดดิ้งสูตร PPI สูงกว่าสูตร SPI (<em>p</em><0.05) อย่างไรก็ตามความแตกต่างด้านเนื้อสัมผัสจะเป็นการเพิ่มทางเลือกตามความต้องการของผู้บริโภค</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ