ทัศนคติของเกษตรกรต่อการพักแปลงนา เพื่อปรับปรุงบำรุงดินและการทำนาแบบต่อเนื่องในพื้นที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทัศนคติและการยอมรับของเกษตรกรที่มีต่อการทำนาแบบไม่พักแปลงนาและแปลงนาที่พักดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดิน 2) ศึกษาปัญหาและรวบรวมข้อเสนอแนะของเกษตรกรที่มีต่อการทำนาแบบไม่พักแปลงนาและแปลงนาที่พักดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดิน กลุ่มตัวอย่างเป็นเกษตรกรที่ทำนาในพื้นที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่มีการพักแปลงนา และไม่พักแปลงนา จำนวน 200 ราย จากการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยมีดังนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 71.50 มีอายุเฉลี่ยอยู่ในช่วง 61-70 ปี ร้อยละ 57.50 เกษตรกรทั้งหมดจบการศึกษาระดับประถมศึกษา ประสบการณ์ปลูกข้าวอยู่ในช่วง 11-20 ปี จำนวนแรงงานในการเพาะปลูกข้าวส่วนใหญ่ครัวเรือนละ 2 คน คิดเป็นร้อยละ 43.50 แรงงานจ้างประจำเฉลี่ยจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 9 แรงงานจ้างชั่วคราวเฉลี่ยจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 25 เกษตรกรมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 21-30 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 29 การถือครองที่ดินเป็นพื้นที่เช่า คิดเป็นร้อยละ 82.50 ปริมาณผลผลิตของข้าวเฉลี่ย อยู่ในช่วง 701-800 กิโลกรัมต่อไร่ ร้อยละ 54.50 ราคาผลผลิตของข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 7.10-8 บาทต่อกิโลกรัม รายได้จากผลผลิตข้าวเฉลี่ยอยู่ในช่วง 4,501-5,500 บาทต่อไร่ รายจ่ายจากการผลิตข้าวเฉลี่ยอยู่ในช่วง 4,001-5,000 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 63 เกษตรกรร้อยละ 66.70 มีความรู้เรื่องการพักแปลงนาเพื่อการปรับปรุงบำรุงดิน เหตุผลที่เกษตรกร ลด/เลิก การเผาตอซังและฟางข้าว พบว่า เนื่องจากการไถกลบตอซังและฟางข้าว สามารถปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้นและช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน (ค่าเฉลี่ย 4.02) มีวัตถุดิบหรือวิธีการที่ช่วยลดระยะเวลา ในการหมักเพื่อช่วยย่อยสลายตอซัง และฟางข้าว (ค่าเฉลี่ย 3.70) ต้นทุนการผลิตข้าว และต้นทุนการผลิตแบบไถกลบตอซังถูกกว่าการเผาตอซัง และฟางข้าว (ค่าเฉลี่ย 3.59) เหตุผลที่เกษตรกรยังคงทำการเผาตอซังและฟางข้าว เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานาน ในการหมักเพื่อย่อยสลายตอซัง และฟางข้าว (ค่าเฉลี่ย 3.92) การเร่งรอบการผลิต ให้ทันต่อน้ำ และแปลงข้างเคียง (ค่าเฉลี่ย 3.86) การเผาช่วยทำลายข้าวดีด และข้าววัชพืช (ค่าเฉลี่ย 3.82) ผลผลิตข้าว และราคาต้นทุนการผลิตข้าว ไม่แตกต่างกัน (ค่าเฉลี่ย 3.65) ดังนั้น สำหรับกลุ่มเกษตรกรที่ยังคงทำการเผาตอซังและฟางข้าว ควรมีการให้คำแนะนำ ปรึกษา และอบรมเพิ่มเติมแก่เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในผลกระทบจากการเผาตอซัง ฟางข้าว และประโยชน์จากการพักแปลงนาเพื่อการปรับปรุงดิน สามารถนำความรู้กลับไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุง การทำนาแบบลดต้นทุนและสามารถใช้ที่ดินได้อย่างยั่งยืน
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสารเอกสารอ้างอิง
Chansuwan, S. and Buatuan, S. 1995. Social science research methodology. Khon Kaen, Khon Kaen University. (in Thai)
Land Development Department. 2013. Training project on rice stubble incorporation for global warming alleviation. Available Source: https://www.ldd.go.th/Strategy/Project/project-8.pdf. (in Thai)
Naklanga, K. 2008. Factors influencing farmers’ behavior of rice stubble and straw burning in Lad Bua Luang district, Phra Nakhon Si Atutthaya province. MS Thesis, Kasetsart University, Bangkok. (in Thai)
Office of agricultural economics. 2020. Statistics of agriculture in Thailand in 2020. Available Source: http://www.oae.go.th/assets/portals/1/files/jounal/2564/yearbook2563.pdf. (in Thai)
Triviset, W. 2013. Analysis of motivation for a cessation of rice stubble burning by farmers in Khlong Khuean district, Chachoengsao province. MS Thesis, Kasetsart University, Bangkok. (in Thai)